โภชนาการหญิงให้นมบุตรและเด็กในวัยเรียน
โภชนาการเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหญิงที่มีการให้นมบุตร และเด็กในวัยเรียน ที่ต้องรับสารอาหารให้เพียงพอต่อร่างกาย เสริมสร้างและซ่อมแซมสุขภาพให้สมบูรณ์ ต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของร่างกาย ยิ่งมีโภชนาการที่ดีมากเท่าไหร่ ความสมบูรณ์ของร่างกายก็จะยิ่งตามมามากขึ้นเท่านั้น แต่การรับโภชนาการในแต่ละวันนั้นต้องทานอย่างให้ถูกต้องและเหมาะสม และต้องทานให้ครบทั้ง 5 หมู่ เพื่อที่จะได้ส่งผลดีต่อร่างกายให้ได้มากที่สุด
โภชนาการให้นมบุตร
ระยะการให้นมบุตรแม่จำเป็นจะต้องได้รับสารอาหารต่างๆ ให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ทั้งนี้เพื่อ
1. ใช้ในการสร้างน้ำนมสำหรับทารก
2. ให้มีพลังงานเพียงพอที่จะใช้ในการผลิตน้ำนมแม่
3. เสริมสร้างและซ่อมแซมสุขภาพของแม่ให้สมบูรณ์
ตาราง แสดงประเภทอาหารและปริมาณอาหารของ
หญิงทั่วไปและหญิงให้นมบุตร (ควรบริโภคใน 1 วัน)
หมวดอาหาร |
ปริมาณ |
|
หญิงทั่วไป |
หญิงให้นมบุตร |
|
เนื้อสัตว์ต่างๆ นมสด* ข้าว – แป้ง ผักสดหรือสุก ผลไม้** น้ำมันพืช |
6 – 12 ช้อนคาว 1 – 2 แก้ว 8 -12 ทัพพี 4 – 6 ทัพพี 3 – 5 ส่วน 3 ช้อนชา |
12 – 14 ช้อนคาว 2 แก้วหรือมากกว่า 9 -10 ทัพพี 6 ทัพพี 6 ส่วน 5 ช้อนชา |
พลังงาน |
2,000 กิโลแคลอรี |
2,500 กิโลแคลอรี |
หมายเหตุ :
* 1 แก้ว = 240 มิลลิลิตร
** ผลไม้ 1 ส่วน เช่น กล้วยน้ำว้า 1 ผล, เงาะ 5 ผล, มะละกอสุก 8 ชิ้นคำ,
ฝรั่ง ½ ผลกลาง เป็นต้น หรือเทียบกับรายการอาหารแลกเปลี่ยน
ข้อแนะนำในการเลือกรับประทานอาหาร
1. เนื้อสัตว์ต่างๆ หญิงมีครรภ์ควรได้รับเนื้อสัตว์ชนิดใดก็ได้เพียงพอทุกวัน แต่ไม่ควรทานแบบติดหนัง
2. ไข่เป็ดหรือไข่ไก่ ควรรับประมาน วันละ 1 ฟอง นอกจากจะมีโปรตีนมากแล้ว ยังมีธาตุเหล็ก และมีวิตามินเอมากอีกด้วย
3. นมสด มีโปรตีนสูงและมีแคลเซียมที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดี หากไม่สามารถดื่มนมได้ อาจจะทำการดื่มนมถั่วเหลืองแทน แต่ควรรับประทาน ไข่ เนื้อสัตว์ หรือถั่วเมล็ดแห้งให้มากขึ้น
4. ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ควรรับประทานสลับกับเนื้อสัตว์ และรับประทานเป็นประจำ
5. ข้าวและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ถ้าหากรับประทานเป็นข้าวซ้อมมือจะทำให้ได้วิตามินบี 1 และกากใยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่อยป้องกันอาการเหน็บชาและลดอาหารท้องผูกได้
6. ผักและผลไม้ต่างๆ ควรรับประทานผลไม้หลังอาหารทุกมื้อให้หลากหลายตามฤดูกาล และรับประทานเป็นอาหารว่างทุกวัน เพราะเป็นแหล่งอาหารที่ให้ วิตามิน เกลือแร่ และกากใยที่ดีมาก นอกจากนี้ยังช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้นอีกด้วย
7. ไขมันหรือน้ำมัน ควรเลือกน้ำมันที่ได้จากพืช เพราะไม่มีโคเลสเตอรอลและยังมีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น น้ำมันถั่วเหลือง ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ
Advertising
ความต้องการทางโภชนาการของหญิงให้นมบุตร
พลังงาน แม่ควรได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น ซึ่งทั้งนี้ขึ้นกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของแม่ในระยะมีครรภ์ และแรงงานที่แม่ใช้ในระยะให้นมบุตร อาหารที่ให้พลังงานในระยะนี้ ควรมาจากโปรตีนและคาร์โบไฮเดรต ซึ่งได้แก่ เนื้อสัตว์ ไข่ น้ำมัน ข้าว หรือแป้งชนิดอื่นสำหรับไขมันอาจเพิ่มได้บ้างแต่ไม่ควรมากเกินไป
โปรตีน ในระยะให้นมบุตรแม่จำเป็นต้องได้รับโปรตีนให้เพียงพอเพื่อใช้ในการสร้างน้ำนมสำหรับบุตรและเพื่อซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ ของแม่ที่สูญเสียไปในการคลอด ถ้าขาดโปรตีนมากจะทำให้เกิดการบวม โลหิตจาง ภูมิต้านทานโรคต่ำ แนะนำอาหารที่ให้เหล็กมากได้แก่ เครื่องในสัตว์ต่างๆ ไข่ ผักใบเขียว พืชประเภทถั่ว และผลไม้แห้งรวมทั้งผลไม้สดด้วย เพื่อได้รับวิตามินซีซึ่งจะช่วยให้เหล็กดูดซึมได้ดีขึ้น
แคลเซียม เป็นสารอาหารที่สำคัญในการเสริมสร้างน้ำนมแม่ให้มีคุณภาพสำหรับลูกนำไปสร้างกระดูกและฟัน ดังนั้นเพื่อป้องกันการสลายตัวของแคลเซียมออกจากกระดูกซึ่งจะทำให้แม่เป็นโรคกระดูกพรุน อาหารที่มีแคลเซียม ได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม กุ้งฝอย ยอดแค ปลาร้า ปลากเล็กปลาน้อย หรือปลาที่รับประทานทั้งกระดูก และผักใบเขียวต่างๆ
วิตามินเอ แม่จะต้องได้รับวิตามินเอเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ในการสร้างน้ำนม อาหารที่มีวิตามินเอสูงที่มาจากสัตว์ ได้แก่ ไข่แดง ตับ ไต เนยเทียม น้ำมันตับปลา นมสด และอาหารที่มีวิตามินเอสูงที่มาจากพืชมักพบในผักใบเขียวจัดเหลืองจัด เช่น ผักกาดเขียว แครอท ฟักทอง และผลไม้สีเหลือง แดง เช่น มะม่วงสุก มะละกอสุก เป็นต้น
วิตามินซี ระดับวิตามินซีในนมแม่จะลดลงเมื่อให้นมบุตรไปนานกว่า 7 เดือน อาหารที่มีตามินซี ได้แก่ ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม มะนาว มะขามป้อม ผักสด เช่น กะหล่ำปลี มะเขือเทศ ผักใบเขียว
วิตามินโฟเลท สารโฟเลชิน อาหารที่มีสารโฟเลชินสูง ได้แก่ ตับ ผักใบเขียวสด หน่อไม้ฝรั่ง บรอคโครี่ ผักโขม มันเทศ และขนมปังที่ทำจากข้าวสาลีทั้งเมล็ด
วิตามินบี 1 ระยะให้นมบุตร หากแม่ขาดวิตามินบี 1 จะส่งผลให้ทารกขาดวิตามินบี 1 ด้วยเช่นกัน และเป็นโรคเหน็บชา อาหารที่มีวิตามินบี 1 ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ เนื้อวัว หมูเนื้อแดง ตับ ธัญพืชทั้งหมด และถั่วเมล็ดแห้ง
วิตามินบี 2 เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของน้ำนมแม่ หญิงที่ให้นมบุตร อาหารที่มีวิตามินนี้มาก ได้แก่ นมและเนย เครื่องในสัตว์ ไข่ ผักใบเขียว ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ และยีสต์
วิตามินบี 12 การขาดวิตามินบี 12 เป็นสาเหตุให้เกิดโรคโลหิตจางได้ อาหารที่มีวิตามินมาก ได้แก่ ตับ ไต เนื้อ สัตว์ไม่มีไขมัน นมสด ไข่ และปลา
น้ำ แม่ระยะนี้ควรได้รับน้ำประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน และถ้าอยู่ในบริเวณที่มีอาการร้อนก็อาจจะเพิ่มได้อีกด้วย ซึ่งจะช่วยในการหลั่งน้ำนมให้ดีขึ้น
ข้อแนะนำในการปฏิบัติตัว
1. รับประทานให้ครบทั้ง 5 หมู่ ในปริมาณที่เพียงพอ งดอาหารรสจัด และอาหารหมักดอง
2. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ยาดองทุกชนิด และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน งดสูบบุหรี่
3. ดื่มน้ำสะอาดและพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ทำงานหนักเกินไป
4. ออกกำลังกายพอประมาณ ตามความเหมาะสม
5. กินยาบำรุงตามที่แพทย์สั่ง สำหรับยาอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
6. เมื่อมีอาการผิดปกติใดๆ ควรปรึกษาแพทย์ในทันที
โรงเรียนสอนว่ายน้ำเด็กอ่อนและทารก เพื่อพัฒนาการที่ดีของลูกน้อย
Advertising
โภชนาการวัยทารก
อาหารวัยทารก
อาหารของทารกแรกเกิดถึง 6 เดือน ในน้ำนมแม่เพียงอย่างเดียว ซึ่งธรรมชาติได้ปรับแต่งให้สะอาดมีคุณค่า เพียงพอ และสารอาหารครบถ้วน ทั้งโปรตีน วิตามิน ไขมัน แร่ธาตุต่างๆ ครบ จะทำให้ลูกน้อยเจริญเติบโตทั้งร่างกายและสมองลดโอกาสเกิดภูมิแพ้และการติดเชื้อที่ปนเปื้อนมากับน้ำและอาหารอื่น มีโคลอสตรัมหรือนมน้ำสีเหลืองๆ ช่วงแรกของหลังคลอด ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรค และยังช่วยระบายขี้เทาซึ่งค้างอยู่ในลำไส้ทารก มดลูกเข้าอู่เร็ว น้ำหนักตัวของแม่ลดลงอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น "อาหาร" ที่เหมาะสมสำหรับทารกทั้งชนิดและปริมาณ จึงถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาและการเจริญเติบโตของร่างกายและสมองของทารก
สารอาหารที่สำคัญ
พลังงานและโปรตีน แหล่งอาหารในช่วงแรกเกิดถึง 4 เดือนที่ดีที่สุดคือนมแม่ หลังจากนั้นเพิ่มเติมจากไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ
แร่ธาตุเหล็ก จำเป็นในการสร้างเม็ดเลือดแดงทารกอายุ 4-12 เดือน ได้รับแร่ธาตุเหล็กจากตับ เนื้อสัตว์ ไข่แดง
ไอโอดีน ช่วยการทำงานของต่อมไธรอยด์ช่วยในการพัฒนาสมอง และการเจริญเติบโตของร่างกาย ใช้เกลือไอโอดีนในการปรุงอาหาร
แคลเซียม จำเป็นในการสร้างกระดูกและฟัน ส่วนใหญ่ได้รับจากนม
สังกะสี ช่วยในการเจริญเติบโต สร้างภูมิคุ้มกันโรคให้ร่างกาย มีมากในเนื้อสัตว์ และอาหารทะเล
วิตามินเอ เสริมสร้างเซลล์และระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยเกี่ยวกับการมองเห็น แหล่งอาหารที่สำคัญคือ ตับ ไข่แดง ผักใบเขียวเข้ม และผักผลไม้สีเหลืองแสด
Advertising
โรงเรียนสอนว่ายน้ำเด็กอ่อนและทารก เพื่อพัฒนาการที่ดีของลูกน้อย
จุดประสงค์ของการให้อาหารเสริมในขวบปีแรก
- เพื่อฝึกพัฒนาการการกลืน
- เพื่อการเคี้ยวอาหารที่เปลี่ยนไปจากของเหลวเป็นของแข็ง
- เพื่อให้ลูกรับรู้รสชาติอาหารอื่นนอกเหนือจากนม
- เพื่อเพิ่มสารอาหารให้แก่ลูก เพื่อให้สารอาหาร วิตามินเอ วิตามินซี ธาตุเหล็ก โปรตีน
- เพื่อฝึกให้ลูกกินเป็นมื้อหลัก เพื่อที่จะรับประทานอาหารเหมือนผู้ใหญ่ หลังอายุ 1 ปี และดื่มนมเป็นอาหารเสริม
คำแนะนำในการให้อาหารทารก
การให้อาหารทารกให้ถูกต้อง เพียงพอและเหมาะสมตามวัยจะช่วยให้ทารกมีการเจริญเติบโตดี และพัฒนาการที่ดี ลดความเสี่ยงต่อการแพ้อาหาร และมีการบริโภคนิสัยที่ดีต่อไป
- เริ่มให้อาหารทีละน้อยในระยะแรก เพื่อให้ทารกฝึกการใช้ลิ้น ริมฝีปากและการกลืน
- เริ่มให้อาหารทีละอย่างและเว้นระยะ 1-2 สัปดาห์ ก่อนเริ่มอาหารชนิดใหม่ เพื่อสังเกตอาการแพ้
- จัดอาหารให้หลากหลายชนิดเพื่อสร้างความคุ้นเคย
- จัดชนิดอาหารให้เหมาะสมตามวัย เนื่องจากระบบการย่อยและการดูดซึมยังไม่สมบูรณ์
- เนื้อสัมผัสของอาหาร จัดให้เหมาะกับการพัฒนาการของเด็กทารกเริ่มจากอาหารเหลว กึ่งเหลว กึ่งแข็ง อ่อนนิ่มและหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
- ไปปรุงอาหารจัด เช่น หวาน เค็ม เปรี้ยว เผ็ด
- เน้นความสะอาดของวัตถุดิบและภาชนะใส่อาหาร
การแพ้อาหารอาหารในทารก
ปัจจุบันอาหารทารกมีทั้งในรูปของนม (นมวัว) และอาหารเสริม การแพ้โปรตีนในนมวัวมักเกิดช่วงอายุ 1-4 เดือน อาหารคือ คัดจมูก อาเจียน ปวดท้องมีผื่นขึ้นตามผิวหนัง
การแพ้อาหารสามารถเกิดขึ้นได้กับทารก ดังนั้นอาหารแต่ละชนิดที่จะเริ่มให้ครั้งแรกต้องให้ทีละน้อย 1-2 ช้อนเล็กก่อน ดูการยอมรับว่าแพ้หรือไม่ เช่น ไข่ เริ่มไข่แดงก่อนไข่ขาว เริ่มเมื่ออายุ 7 เดือน ถ้าแพ้ไข่ขาวจะเกิดผื่นที่หน้าทั้ง 2 ข้างแก้ม ภายใน 1-2 สัปดาห์ เรียกว่า "ขี้กลากน้ำนม" ก็ควรเริ่มให้ไข่ขาวเมื่ออายุ 1 ปี แต่ไข่แดงให้ได้
เด็กที่อายุต่ำกว่า 6 เดือน พบสารแพ้กลูเตน (เป็นโปรตีนในอาหารที่ทำจากข้าวสาลี, ข้าวบาร์เลย์, ข้าวโอ๊ต) เด็กจะมีอาการท้องเสียเรื้อรัง เพราะเยื่อบุลำไส้ถูกทำลาย ปัจจุบันที่ฉลากจะระบุว่ามีกลูเตนอยู่ด้วยหรือไม่
หากเด็กแพ้นมผสม ถั่วลิสง ช็อกโกแลต หรืออาหารทะเล อาหาร คือ ผื่นคันที่แก้ม หลังหูและตามข้อพับ แต่ถ้าทารกไม่มีอาการแพ้อาหารสามารถค่อยเพิ่มอาหารใหม่ โดยควรให้ติดต่อกัน 2 สัปดาห์ แล้วจึงค่อยทำการเปลี่ยน จะเป็นการป้องกันการแพ้อาหารลูกได้
โภชนาการในเด็กวัยเรียน
เด็กวัยเรียน
เด็กวัยเรียนหมายถึงเด็กที่อายุ 6 -12 ปี เด็กวัยนี้จะเจริญเติบโตและมีพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งการเรียนรู้อันเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะนำไปสู่ชีวิตที่มีคุณภาพในอนาคต ดังนั้นอาหารจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเด็กในวัยนี้ได้รับอาหารไม่เพียงพอหรือไม่เหมาะสม จะส่งผลทำให้เด็กร่างกายแคระแกรนสติปัญญาทึบ ไม่มีความพร้อมในการเรียนประสิทธิภาพการเรียนรู้และการทำงานต่ำ
จะทราบได้อย่างไรว่าเด็กมีการเจริญเติบโตตามปกติ?
ผู้ปกครองควรเป็นผู้ติดตามการเจริญเติบโตของเด็ก โดยการชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง และนำมาเทียบกับน้ำหนักและส่วนสูงต่ออายุที่เหมาะสมของเด็ก
ตารางแสดงน้ำหนักและส่วนสูงที่เหมาะสมของเด็ก
อายุ (ปี) |
น้ำหนัก (ก.ก.) |
ส่วนสูง (ซ.ม.) |
4 – 6 7 – 9 10 – 12 |
16 – 20 22 – 26 28 – 32 |
100 – 110 115 – 125 130 – 140 |
โภชนาการในเด็กวัยเรียน
เด็กวัยนี้มีการเคลื่อนไหวและใช้พลังงานอยู่ตลอดเวลาไม่หยุดเฉย ยกเว้นว่าไม่สบาย ดังนั้นร่างกายจึงต้องการสารอาหารต่างๆ ครบทั้ง 5 หมู่และในปริมาณที่เพียงพอ
อาหารหมู่ต่างๆ ที่เด็กควรได้รับประทานใน 1 วัน มีดังนี้ :
อาหาร |
อายุ 6 – 9 ปี |
อายุ 10 – 12 ปี |
นมสด* ไข่ ข้าวสวยอาหารแป้งอื่นๆ เนื้อสัตว์ สุก ผักใบเขียวและผักอื่น ผลไม้ (ตามฤดูกาล)** ไขมัน/น้ำมันพืช |
1 – 2 แก้ว 1 ฟอง 3 ถ้วยตวง (6 ทัพพี) 5 – 6 ช้อนโต๊ะ ½ - 1 ถ้วยตวง มื้อละ 1 ส่วน 1 – 2 ช้อนโต๊ะ |
1 – 2 แก้ว 1 ฟอง 3 – 4 ถ้วยตวง (6-8 ทัพพี) 6 – 7 ช้อนโต๊ะ 1 ถ้วยตวง มื้อละ 1 ส่วน 1 – 2 ช้อนโต๊ะ |
*นม 1 แก้ว 200 ซีซี
**ผลไม้ 1 ส่วนให้พลังงาน 60 กิโลแคลรอรี่ ปริมาณเท่ากับกล้วยน้ำว้า 1 ผลเล็กหรือเงาะ 5 ผล หรือมะละกอสุก 8 ชิ้นขนาดคำ หรือละมุด 2 ผลเล็ก หรือ ½ ผลขนาดกลาง
จากตารางผู้ปกครองสามารถใช้เป็นแนวทางในการสร้างเสริมสุขภาพให้แก่บุตรหลาน ได้ว่าในวันหนึ่งๆ รับประทานอาหารได้ครบตามหมวดหมู่หรือไม่ หรือเน้นหนักไปทางหมู่ใดหมู่หนึ่งมากเกินไปหรือเปล่า
ชนิดอาหารที่ควรเลือกให้เด็ก
1. เนื้อสัตว์ เป็นสารอาหารที่ให้โปรตีนช่วยเสริมสร้างกล้าม เนื้อ เนื้อเยื่อและ ฮอร์โมน ควรเลือกเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน เพื่อเป็นการปลูกฝังนิสัยการบริโภคที่ดีให้แก่เด็ก และควรให้อาหารทะเล เครื่องในสัตว์สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
2. ไข่เป็ด ไข่ไก่ ควรได้รับวันละ 1 ฟองทุกวัน
3. ถั่วเมล็ดแห้ง เด็กวัยเรียนควรกินถั่วเมล็ดแห้งเป็นประจำเพราะถั่วเมล็ดแห้งมีโปรตีน แคลเซียมและวิตามินบีสองมาก
4.นมสด เป็นอาหารที่ใช้โปรตีนและแคลอรี่สูงและยังมีแคลเซียม วิตามินเอมาก เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต เด็กจึงควรดื่มนมทุกวันอย่างน้อยวันละ 1 แก้ว
5. ผักใบเขียวและผักสีเหลือง ควรให้เด็กบริโภคในมื้ออาหารทุกมื้อและควรสับเปลี่ยนชนิดให้หลากหลายเพื่อให้เด็กได้รับวิตามินและแร่ ธาตุครบถ้วน
6. ผลไม้สด เป็นแหล่งที่ดีของวิตามินและเกลือแร่โดยเฉพาะวิตามินซี เด็กควรได้รับผลไม้ทุกวัน และเลือกชนิดให้หลากหลายตามฤดูกาล
7. ข้าว ก๋วยเตี๋ยวหรือแป้งอื่นๆ ควรจัดให้เด็กในมื้ออาหารทุกมื้อ หรือกินในรูปของขนมบ้างก็ได้ โดยเลือกข้าวหรือแป้งที่ผ่านการขัดสีน้อย เพราะมีวิตามินและแร่ธาตุมาก
8. ไขมันหรือน้ำมันพืช เป็นแหล่งที่ดีของพลังงานและช่วยให้วิตามินที่ละลายในน้ำมันถูกดูดซึมได้ดีขึ้น ควรเลือกน้ำมันพืชเพื่อใช้ในการประกอบอาหารให้แก่เด็กเช่น น้ำมัน น้ำมันถั่วเหลือง เป็นต้น
9. น้ำ ควรให้เด็กบริโภคน้ำสะอาดวันละ 6-8 แก้ว หรือให้เพียงพอกับปริมาณที่สูญเสียไปในแต่ละวัน
โดยสารอาหารแต่ละชนิดควรให้เด็กบริโภคในปริมาณที่เหมาะสมเพราะถ้าให้ในปริมาณมากเกินจะทำให้เด็กมีภาวะโภชนาการเกินหรืออ้วนได้
โภชนาการในวัยเด็ก
1. ควรจัดอาหารหลักให้เด็กบริโภคให้ครบทั้ง 3 มื้อ ไม่ควรเว้นมื้อใดมื้อหนึ่ง โดยเฉพาะมื้อเช้า
2. ควรจัดอาหารให้ครบถ้วนด้วยสัดส่วนและเพียงพอกับ ความต้องการของร่างกายเด็ก
3. ควรให้เด็กบริโภคอาหารตรงเวลา ไม่ควรให้เด็กรับประทานขนมจุบจิบ
4. ควรจัดอาหารว่างให้เด็กบริโภคตอนสายและบ่าย
5. ในแต่ละมื้อไม่ควรจัดให้มีอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลอย่างเดียวเท่านั้น ควรพยายามจัดอาหารให้ครบหมู่
6. ผู้ปกครองควรให้ความสนใจกับสภาพจิตใจของเด็กเพราะมีผลกระทบถึงการกินอาหารและโภชนาการของเด็ก
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
อาหารที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กได้แก่ อาหารหมักดองเนื้อสัตว์ที่ปรุงไม่สุก อาหารสจัด น้ำอัดลม ชา กาแฟ ขนมหวาน ขนมกรุงกรอบ อาหารพวกนี้จะทำให้เด็กอิ่มและไม่บริโภคอาหารมื้อหลัก ทำให้เด็กได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายน้อย
ตัวอย่างรายการอาหารสำหรับเด็กวัยเรียนให้พลังงาน 1,500 กิโลแคลอรี่
มื้ออาหาร |
คุณค่าทางโภชนาการ |
เช้า ข้าวต้มไก่ - ข้าว 1 ทัพพี - เนื้อไก่ 2 ช้อนกินข้า นม 1 กล่อง (200 มิลลิลิตร) กล้วยหอม 1 ผลเล็ก |
พลังงาน 320 กิโลแคลอรี่ โปรตีน 15 กลัม |
ว่างเช้า ถั่วดำแกงบวช 1 ถ้วย |
พลังงาน 167 กิโลแคลอรี่ โปรตีน 9 กรัม |
กลางวัน ข้าวหมูทอด ไข่ดาว - ข้าวสวย 1 ½ ทัพพี - หมูทอด 2 ช้อนกินข้าว - ไข่ดาว 1 ฟอง มะเขือเทศ แตงกวา น้ำแครอท 1 แก้ว |
พลังงาน 440 กิโลแครอรี่ โปรตีน 16 กรัม |
ว่างบ่าย โยเกิร์ต 1 ถ้วย |
พลังงาน 78 กิโลแครอรี่ โปรตีน 8 กรัม |
เย็น ข้าว น้ำพริกผักต้ม ปลาทูทอด - ข้าวสวย 2 ทัพพี - น้ำพริกกะปิต้ม - ปลาทูทอด 1 ต้มขนาดเล็ก แกงจืดเต้าหู้ไข่ผักกาดขาว - แกงจืด 1 ถ้วย มะม่วง ½ ผลขนาดกลาง |
พลังงาน 440 กิโลแคลอรี่ โปรตีน 16 กรัม |
ซึ่งโภชนาการต่างๆทั้งคุณแม่และคุณลูกน้อยก็ต้องผสมสานระหว่าง
การดูแลสุขภาพ การเรียนรู้ ตลอดจนการออกกำลังกาย
เพื่อสุขภาพและพัฒนาการที่ดีของลูกน้อยด้วยนะคะ
……………………………………………………………………………………………
ขอบคุณข้อมูลจาก : คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ขอบคุณรูปภาพจาก : www.healthcarethai.com / th.theasianparent.com / aomjjai.blogspot.com / eln.theasianparent.com / www.thaihealth.or.th / www.rakluke.com และ https://www.babyswimmingthailand.com
ทีมงานตาโตเรียบเรียงนำเสนอ