เงินต้นทุนของชีวิต ธรรมชาติคืนชีวิต
และการไขว่คว้าหาโอกาสให้ชีวิต
M-N-O Create ways to happiness
(Money-Nature-Opportunity)
Money เงินต้นทุนของชีวิต
คนเราทุกคนย่อมต่างก็รู้ดีว่าปัจจัยสำคัญที่ห้าของชีวิตนอกเหนือจากอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ และยารักษาโรค ก็คือ “เงิน” เพราะเงินเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งของที่เราจำเป็นที่จะต้องใช้ เพื่อดำรงชีวิตให้มีความอยู่ดีมีสุข รวมไปถึงสิ่งที่เราอยากได้เพราะความพึงพอใจ เช่น รถยนต์ เครื่องประดับ การเดินทางท่องเที่ยว
ด้วยเหตุนี้เอง คนเราจึงต้องขวนขวายเพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตโดยไม่ติดขัด และเมื่อได้เงินมาแล้ว เราก็ควรแบ่งเงินที่หาได้ 2 ส่วน คือ ส่วนที่ใช้จ่าย และส่วนที่เก็บไว้เพื่ออนาคต การเก็บเงินสำหรับอนาคตนั้นมีให้เลือกมากมายหลากหลายรูปแบบ ซึ่งเราควรจะต้องวางแผนให้เหมาะสมกับรายรับ-รายจ่ายและรูปแบบการใช้ชีวิตของตนเองด้วย หลักการออมที่ผู้เชี่ยวชาญทางการเงินมักที่จะแนะนำเสมอนั้นก็คือ การวางแผนออมเงินระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพราะไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าเราจำเป็นจะต้องใช้เงินเมื่อใด เราจึงจำเป็นต้องมีเงินทุนสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
วิธีการเก็บออมเงินนั้นมีให้เลือกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้บริการของธนาคาร การฝากออมทรัพย์ ฝากประจำ ฝากประจำแบบปลอดภาษี ซื้อตั๋วแลกเงิน ซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซื้อสลากออมสิน ซื้อสลาก ธกส. ซื้อกรมธรรม์ประกันภัย ที่มีให้เลือกหลากหลาย หรือเลือกลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายและความเสี่ยงตามความเหมาะสมของผู้ลงทุน เช่น กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในหุ้น กองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมแบบผสม ถ้าต้องการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ให้เลือกลงกองทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund : RMF) หรือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund : LTF) หรือรับสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีสูงสุด 37% ตามขั้นภาษีที่แต่ละท่านจะต้องชำระ
นอกเหนือจากการออมทรัพย์แล้ว การจะรักษาทรัพย์ที่ได้มาอีกวิธีหนึ่งก็คือการมีวินัยในการใช้เงิน เราต้องรู้จักใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นก่อนอย่าซื้อเพราะความอยากได้ หรือเชื่อตามคำชักชวนในโฆษณาว่าต้องใช้สินค้าชนิดนี้แล้วจะกลายเป็นคนสวย คนหล่อ คนเท่ คนทันสมัย ที่สำคัญอย่านำเงินอนาคตมาใช้จ่าย หากไม่แน่ใจว่าจะมีรายได้มาชำระรายจ่ายนั้นได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราใช้จ่ายเงินตามอารมณ์ เราก็จะเจอปัญหารายรับไม่พอรายจ่าย ซึ่งทำให้เราทุกข์ใจเพิ่มขึ้นเมื่อหาเงินมาหมุนไม่ทันจนก่อให้เกิดหนี้สินได้
ถึงแม้ว่าการเก็บออมเงินจะเป็นเรื่องจำเป็น แต่ก็ใช่ว่าเรานั้นจะใช้เงินเพื่อความสนุก ความสุขส่วนตัวไม่ได้เลย การให้รางวัลเล็กๆ น้อยๆ กับตัวเองเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะช่วยเพิ่มสีสันให้กับชีวิต เราจะได้มีพลังมีแรงกายแรงใจมาวางแผนการเงินให้ดีขึ้นกว่าเดิม และสร้างอนาคตที่สดใสยิ่งๆ ขึ้นไป
Nature ธรรมชาติคืนชีวิต
ในยุคสมัยนี้หากใครผู้ใดยังไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน และการรณรงค์ให้ช่วยกันอนุรักษ์ธรรมชาติ คงจะถูกตำหนิต่อว่าเชยและไม่ทันสมัย แต่จะมีสักกี่คนที่จะตระหนักได้ว่าถึงความรุนแรงของปัญหานี้และหันมาแก้ไขอย่างจริงจัง ยิ่งสังคมคนเมืองที่ดูเหมือนที่ผูกติดอยู่กับความสะดวกสบายและเทคโนโลยีจนอาจมองว่าธรรมชาติไม่มีความทรงจำเป็นสำหรับชีวิต เพราะวันๆ ก็ใช้เวลาอยู่แต่ในห้องเรียนหรือที่ทำงาน จะเห็นสิ่งที่เรียกว่าธรรมชาติอยู่บ้างก็แค่ต้นไม้สีเขียวๆ เหลืองๆ ริมถนน ที่ดูไม่ค่อยสดชื่นและเต็มไปด้วยด้วยคราบเขม่าควันจากท่อไอเสียรถยนต์ แต่รู้หรือไม่ว่าต้นไม้เหล่านั้นมีผลต่อชีวิตเรามากเพียงใด
ต้นไม้เปรียบเสมือนปอดของโลก เพราะในขณะที่คนเรานั้นกำลังทำกิจกรรมต่างๆ หรือแม้แต่หายใจเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นพิษกับตนเองมาในชั้นบรรยากาศ ต้นไม้จะดูดซับสารพิษนั้นไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นก๊าซออกซิเจนออกมาแทน ต้นไม้ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการของโรคหลายชนิด เช่น โรคในระบบทางเดินหายใจ โรคภูมิแพ้ โรคเครียด โรคซึมเศร้า และความดันโลหิต มีงานวิจัยออกมายืนยันว่าการได้ดูต้นไม้สีเขียวๆ เพียงไม่กี่นาที ก็ทำให้จิตใจสงบ ผ่อนคลาย และความดันโลหิตลดลงได้ นอกจากนี้ ต้นไม้ยังช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นทำให้อากาศเย็นสบาย ช่วยดูดกลืนรังสีที่เป็นอันตรายในอากาศแม้แต่พันธุ์ไม้เล็กๆ อย่างแคคตัส ก็สามารถดูดซับรังสีที่เป็นอันตรายที่ออกมาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือต้นเศรษฐีเรือนในที่ลดมลพิษในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากต้นไม้จะมีคุณประโยชน์ต่อคนเราโดยตรงแล้ว ต้นไม้ยังผลส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วก็มีผลกระทบมาถึงเราด้วยเช่นกัน อย่างเช่น ช่วยสงเคราะห์แสงให้เกิดเป็นอาหารของสิ่งมีชีวิต เป็นที่พักพิงอิงอาศัยของเหล่าสัตว์นานาชนิด ช่วยป้องกันภัยทางธรรมชาติ เช่น ดินถล่ม พายุฝน น้ำท่วม คลื่นยักษ์ เป็นแนวกันไฟป่า เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารและเต็มไปด้วยทรัพยากรทางธรรมชาติที่สำคัญ ด้วยเหตุนี้ เราจึงควรหันมาร่วมกันปลูกต้นไม้ไว้รอบบ้านหรือที่ทำงาน ใช้เวลาว่างๆ เดินเล่นในสวนสาธารณะแทนการเดินชอปปิ้งตามในห้างสรรพสินค้าต่างๆ และพาลูกๆ หรือคนรู้จักออกไปใกล้ชิดกับธรรมชาติ เพื่อให้พวกเขาได้ทำความรู้จัก เกิดความรัก เห็นคุณค่า และเป็นหนึ่งเดียวกับเพื่อสีเขียว ดังที่ท่านมหาตมะ คานธี เคยกล่าวไว้ว่า
“To forget how to dig the earth and
To tend the soil is to forget ourselves.”
“หากท่านลืมวิธีการพลิกฟื้นผืนดิน ก็เท่ากับท่านลืมดูแลตัวท่านเอง”
Opportunity ไขว่คว้าหาโอกาสให้ชีวิต
ในชีวิตของคนเราทุกคนมีความปราณนาว่าอยากจะได้สิ่งโน้นสิ่งนี้มาครอบครอง หรือมีความต้องการที่จะเป็นเจ้าของอยู่เสมอ รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่า “โอกาส” ด้วยหลายคนอยากได้โอกาส ซึ่งบางคนก็สมหวัง บางคนก็ผิดหวัง ในรายที่สมหวังได้โอกาสมาครอบครอง แต่ไม่ได้ใช้โอกาสให้เกิดประโยชน์สูงสุด โอกาสก็เลยหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย แต่รายที่ผิดหวังเพราะโอกาสไม่ได้วิ่งเข้ามาหาก็อาจจะรู้สึกเสียออกเสียใจ โทษโชคชะตาวาสนาของตน แล้วพาลทำให้ตัวเองไม่มีความสุข แต่จะดีกว่าหรือไม่ ถ้าหากเราลุกขึ้นมาสร้างโอกาสที่เราอยากได้ อยากเป็นเสียเอง โดยไม่ต้องรอให้ใคร หรือสถานการณ์ใดๆ มาหยิบยื่นให้ เพราะจริงๆ แล้วโอกาสเป็นสิ่งที่คนเราทุกคนสามารถสร้างได้ เพราะฉะนั้น ทุกคนจึงมีสิทธิ์เป็นเจ้าของโอกาสด้วยกันทั้งนั้น
วิธีการสร้างโอกาสที่ดีสุดนั้นก็คือ การตั้งเป้าหมายว่าเราต้องการอะไร แล้วค้นคว้าหาวิธีการหรือหนทางที่จะทำให้เราบรรลุเป้าหมายนั้น การหาวิธีการหรือหนทางก็คือการสร้างโอกาสนั่นเอง ดังเช่นที่ คุณตัน ภาสกรนที หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม ตัน โออิชิ เข้าไปตั้งบูทส่งเสริมการขายในงานแข่งเรือระดับประเทศที่กัมพูชา ด้วยโปรโมชั่นซื้อโออิชิกรีนที 1 ขวด แถม 1 กล่อง ซื้อ 2 ขวด แถมกระปุกออมสินตุ๊กตาหน้าตาน่ารัก 1 ตัว และถึงแม้แคมเปญการขายด้วยของแถมจะเร้าใจ แต่ปรากฏว่าไม่มีใครให้ความสนใจสักเท่าไหร่ เนื่องจากที่กัมพูชาไม่ค่อยมีใครรู้จักโออิชิมากนัก แต่คุณตันก็ไม่ได้สั่งเก็บบูท แต่คุณตันกลับสร้างโอกาสด้วยการปรับเปลี่ยนแคมเปญส่งเสริมการขายทันที จากซื้อโออิชิกรีนที 2 ขวด แถมตุ๊กตา 1 ตัว กลายเป็นซื้อตุ๊กตา 1 ตัว แถมโออิชิกรีนที 2 ขวด เพราะสังเกตเห็นว่าตอนที่พิธีกรโชว์ตุ๊กตาให้ดู พวกเด็กๆ มีท่าทีตื่นเต้น คุณตันเลยใช้เด็กเป็นกลยุทธ์ในการดึงพ่อและแม่ของเด็กให้มาเข้าคิวต่อแถวรอซื้อตุ๊กตา วันนั้นจากที่ขายไม่ได้กลายเป็นขายหมด นี่คือการสร้างโอกาสในการขายในการขาย ส่วนโอกาสอื่นๆ ในชีวิตก็สร้างได้คล้ายๆ กัน หากเราขยันที่จะคิดวิธีการสร้างโอกาสใหม่ๆ โอกาสในชีวิตก็จะไม่เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์อยู่เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ “ต้นทุนการเสียโอกาส” ทฤษฎีนี้อธิบายว่า หากเราได้รับโอกาสหนึ่ง เราก็จะเสียโอกาสหนึ่งไป ทำให้เกิดต้นทุนการเสียโอกาส ก็เพราะเราไม่สามารถกลับไปคว้าโอกาสนั้นได้อีก ดังนั้นเราจงพอใจในโอกาสที่เราได้รับหรือได้เลือก และทำโอกาสนั้นให้ดีที่สุด อย่าไปเสียดายโอกาสที่เราไม่ได้รับเลือก แต่หากเราเป็นนักสร้างโอกาส ก็ไม่แน่ว่าโอกาสที่เสียไปอาจย้อนกลับมาอีกครั้ง
แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยถนัดในกาสร้างโอกาสให้กับตัวเอง ก็จงทำทุกอย่างในปัจจุบันอย่างตั้งใจ แล้วถ้าวันหนึ่งโอกาสวิ่งเข้ามาหาก็เหมือนกับเราได้เตรียมพร้อมตัวเองสำหรับโอกาสนั้นอยู่แล้ว เช่น พนักงานที่มีความขยันขันแข็ง รู้จักเพิ่มเติมความรู้ ทักษะความสามารถเมื่อมีตำแหน่งว่างหรือตำแหน่งใหม่ เจ้านายก็จะหยิบยื่นโอกาสนั้นให้วิธีการแบบนี้ก็เป็นการสร้างโอกาสแบบหนึ่ง แต่เป็นการสร้างโอกาสในแบบที่ยังไม่เห็นเป้าหมายแน่ชัด ดังนั้นถ้าจะให้ดี เราก็น่าจะเป็นทั้งนักสร้างโอกาสในแบบที่มีเป้าหมาย และแบบที่ไม่มีเป้าหมายไปพร้อมๆ กัน
ภายใต้เงินและโอกาส สิ่งที่อยากให้คำนึงถึงเป็นลำดับแรกก็คือ สิ่งที่ต้องการทำจะต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามภายใต้กฎหมายเสียก่อน และสองสิ่งที่ทำอยู่นั้นควรจะสร้างประโยชน์ให้กับคนจำนวนมาก เหตุผลคือ สิ่งที่ถูกกฎหมายเป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่า ไม่ต้องกังวลกับการเสี่ยงทำผิดกฎหมาย และคนจำนวนมากให้เงินเราได้มากกว่าคนส่วนน้อย เป็นความจริงง่ายๆ ขอให้คุณได้ใช้โอกาสอยู่กับคนจำนวนมาก ซึ่งหากพวกเข้าเห็นในสิ่งเดียวกับที่คุณเห็น และช่วยให้พวกเขามีความคิดแบบที่คนรวยคิดกัน ผมมั่นใจว่าไม่เฉพาะเงินทองที่คุณจะได้รับ ความสุข ความมีชื่อเสียง หรือสิ่งที่คุณไม่เคยคิดว่าจะได้ ก็จะเกิดขึ้นกับตัวของคุณเองอีกด้วย
......................................................................................
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือเส้นทางแห่งความสุข และ mblog.manager.co.th
ขอบคุณรูปภาพจาก : thaihealth.or.th / edtguide.com / thaihometown.com / homenayoo.com / sale108.com / support.getmycrm.com / momypedia.com / reddit.com / bedodonation.com
ทีมงานตาโตเรียบเรียงนำเสนอ