ผมเป็นคนภาคอีสานโดยกำเนิด สมัยเด็กอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ แต่ไม่ได้อยู่ในตัวเมืองนะครับ ชาวบ้านทำไร่ทำนาและหาของป่ามาเป็นอาหาร ไม่ว่าหน่อไม้ ผักหวาน เห็ดต่าง ๆ เหลือกินก็เก็บถนอมเอาไว้ได้นาน ๆ ไม่มีอะไรเดือดร้อน พวกเด็ก ๆ ส่วนมากไม่ได้วิ่งชุกชนอย่างเดียว แต่ช่วยพ่อแม่ออกทำมาหากิน เช่น ยิงนก ตกปลา หาไข่มดแดง พอโตขึ้นหน่อยก็รู้จักดักนกคุ่ม หาตีงูสิงมาให้แม่ทำผัดทำแกงเป็นกับข้าวมื้อเย็นได้สบายมาก
ปัญหาก็คือเรื่องผีดุน่ะสิคุณเอ๋ย ไม่ใช่ผีบ้านผีเรือน หรือผีปู่ตาตามศาลหัวคันนา เพราะเป็นผีที่ชาวบ้านคอยเช่นไหว้ให้ดูแลที่ดินและข้าวกล้าให้เจริญงอกงาม แต่ว่าเป็นผีป่าผีดงที่พวกผู้ใหญ่เชื่อกันว่าเป็นผีร้ายหรือวิญญาณพเนจร เผลอ ๆ ก็เข้ามาสิงคนแก่และคนเจ็บป่วยให้กลายเป็นผีปอบ ทั้งกินตับไตใส้พุงคนที่มันสิง กับคอยดอดออกจากบ้านยามดึกไปหาเป็ดไก่ในเล้า แล้วจับกินกร้วม ๆ ทีละครึ่งค่อนเล้า รุ่งเช้าเห็น แต่ขนกับเลือดกระจายอยู่ในเล้า ต้องว่าจ้างหมอผีมาตามหาผีปอบแล้วขับไล่ไปให้พ้นหมู่บ้านทันทีไหนจะผีที่ยึงหลวงอีกล่ะ?
คือที่หลังวัดมีบึงใหญ่ ปลาชุกชุมมาก ปลาดุก ปลาช่อน ปลาตะเพียน เยอะแยะ บางคนบอกว่ามีทั้งปลาชะโด ปลาสลาด ปลาสวาย ปลาเทโพมีทั้งนั้น แต่บางคนก็เถียงว่าปลาสวายปลาเทโพ ไม่ได้อยู่ในบึงในหนองหรอก ไอ้โง่! มันอยู่ในแม่น้ำลำคลองต่างหากล่ะ เล่นเอาหวิดจะวางมวยกัน แต่ที่แน่ ๆ ก็คือผีดุมากครับ แทบจะไม่มีใครกล้าไปหาปลาที่บึงหลวงมากิน ไม่ว่าตกเบ็ด ทอดแหหรือสุ่มปลา ส่วนมากไปหากินตามบึงเล็ก ๆ หรือไม่ก็ตามหนองใกล้ท้องนา ผมไปดูเขาวิดปลาจนเหลือแต่โคลนตม เห็นปลานับร้อย ๆ ดิ้นคลั่ก ๆ น่าตื่นเต้นดีชะมัดเลย
เคยมีคนห้าว ๆ แทบจะบ้าบิ่น ออกไปทอดแหหาปลาที่นั่น เพราะใกล้หมู่บ้านที่สุด ปรากฏว่าไม่เจอะเจอผีสางอะไร แถมได้ปลามามากมายจนแกงกินไม่หวาดไม่ไหว ทาเกลือทำเค็มก็แล้ว แจกเพื่อนบ้านก็แล้วแต่ยังไม่หมดสิ้น ค่ำนั่นเอง คนที่สวาปามปลาจากบึงหลวงเข้าไปล้วนแต่มีอาการท้องเสียอย่างแรง ขนาดอาเจียนไปด้วยก็มี เรียกว่าทั้งลงทั้งราก แตกตื่นกันไปหาเฒ่าเคน-หมอยาและหมอผีประจำหมู่บ้าน “อยู่ดีไม่ว่าดี เสือกไปแดกปลาเจ้าพ่อเข้าให้ ไม่ตายก็บุญแล้วมึงเอ๋ย” เฒ่าเคนหรืออาจารย์เคนแกว่ายังงั้นนะครับ เพราะสาเหตุนี้แหละที่ทำให้ผมได้พบกับเหตุการณ์ขนลุกจนแทบจะขาดใจตายไปเลย
อาสิงห์เป็นคนบ้านติด ๆ กันอายุราวสามสิบปี รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำ กล้ามเป็นมัด ๆ หน้าตาคมสันแต่ค่อนไปทางเหี้ยม นัยน์ตาดุ พ่อแม่แกท้องเดินแทบปางตายเพราะกินแกงปลาจากบึงหลวง ส่วนแกไม่ได้แตะต้องจึงรอดตัวไป “กูจะไปกวาดปลาเจ้าพ่อให้หมดบึง ดูชิว่าใครจะทำอะไรกู?” ตอนนั้นผมกำลังบ่างเข้าวัยรุ่น ใจคอคึกคักอึกเหิม พออาสิงห์ชวนคำเดียวผมก็เผ่นปร๋อตามแกไปทันทีในตอนบ่ายแก่ ๆ ท้องฟ้าโล่งกว้าง ลมทุ่งพัดโชยมาเยือกเย็น เราปักหลักกันที่ใต้ร่มสะตือที่แผ่กิ่งก้านไปในบึงหลวง มีพงอ้อกอหญ้าดกหนา แต่เป็นทำเลเหมาะเจาะในการเหวี่ยงแหของอาสิงห์
แกมวนยาสูบเสร็จก็ลุกขึ้นยืนจังก้า ท่อนบนเปลือยเปล่ากำยำเหนือกางเกงขาก๊วยและผ้าขาวม้าเคียนพุง ขยับศอกซ้ายให้จังหวะแหที่ถ่วงตะกั่ว มือขวาเหวี่ยงโครมเห็นปากแหแผ่กระจายเป็นรูปวงกลมสวยงาม ผมชะเง้อมองอย่างตื่นเต้น สายลมกระโชกวูบเย็นยะเยือก ยอดสะตือไหวซ่าเกือบพร้อม ๆ กับเสียงครืน ๆ ดังมาจากในบึง ตามด้วยเสียง โพล่ง! จนผมหวิดสะดุ้ง ก่อนที่แหทั้งปากจะถูกยกขึ้นมาเหนือผิวน้ำเสียงดังซ่า พอเห็นภาพนั้นเต็มตาเล่นเอาผมผงะหงายแทบจะกันกระแทกพื้น ดวงตาเหหลือกลาน มีอะไรแข็ง ๆ จุกลำคอจนร้องไม่ออก
อสุรกายดำทะมึนผุดพรวดขึ้นมาจังก้า นัยน์ตาแดงก่ำราวเปลวไฟ สองมือใหญ่โตฉีกกระชากร่างแหที่คลุมหัวขาดกระเจิง ผมรู้สึกเหมือนโลกแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เผ่นอ้าวไม่คิดชีวิต จำไม่ได้ว่าร้องอะไรหรือเปล่า แต่อาสิงห์ผู้กล้าหาญวิ่งแซงผมไปรวดเร็วราวกับลมพัด ค่ำนั้น อาจารย์เคนต้องเดือดร้อนมาเสกน้ำมนต์ให้กิน ผูกข้อมือให้เราด้วยสายสิญจน์ อาสิงห์ที่เคยผิวคล้ำดูเหมือนจะชาวผ่องผิดตา ต่อมาไม่นานผมก็มาเรียนต่อในกรุงเทพฯ เมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านก็ไม่ได้ข่าวคราวจากบึงหลวงอีกเลยครับ
By Admin Park