เทพนิยายกริมม์ (Grimm) ก่อนจะมาเป็น เทพนิยาย & การ์ตูน สุดโปรดของเด็ก
2015-05-02 02:42:00
เทพนิยายกริมม์ (Grimm)
ก่อนจะมาเป็น เทพนิยาย & การ์ตูน สุดโปรดของเด็ก

   รู้จักเทพนิยาย Grimm  หรือ นิยายกริมม์ไหม? พวกเช่น หนูน้อยหมวกแดง, สโนว์ไวท์ฯ, ซินเดอเรล่า ฯลฯ คุณรู้หรือเปล่าว่าเบื่องหลังนิทานเหล่านั้น มันมีต้นกำเนิดมาก่อน Grimm ต้นกำเนิดนั้นมันเป็นนิทานพื้นบ้านของยุโรป ซึ่งมีหลายเวอร์ชั่น และเนื้อหานี้เหลื่อเชื่อมากว่ามันเป็นนิทานก่อนนอนสำหรับเด็กและโครงเรื่องแสนลึกล้ำยากจะจินตนาการ ว่ากันว่า พี่น้องตระกูลกริมส์เคยคิดเอาโครงเรื่องนิทานพวกนี้มาแต่งให้คงเอกลักษณ์รส ชาติเดิมไว้

       ผลเหรอ…ทางสำนักพิมพ์ยุคนั้นก็ตอบกลับว่าเอาไปแต่งใหม่ดีกว่าเพราะเนื้อหาของมันไม่ เหมาะต่อเยาวชนเด็กและสตรีเพราะมีแต่ความรุนแรง โหดร้าย ทารุณ อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องของเซ็กส์มากมายปะปน จนสุดท้ายเทพนิยายกริมม์ (Grimm) ก็ได้ถูกแปลงให้เนื้อหาที่สะอาด และลดทอนเนื้อหาที่รุนแรง ส่วนที่โหดร้ายลง อย่างที่เราๆ เคยอ่าน หรือเคยได้ยินกัน

       สำหรับต้นกำเนิดของมัน หรือ ต้นฉบับ นิทานก่อนนอน หรือ เทพนิยาย Grimm ของเรานั้น มีความสยดสยองมากมายหลายเท่ากว่าที่เราเคยฟัง ลองมาดูกัน และวิเคราะห์ประเด็นของความคลุมเครือในเนื้อหาของมันกับผู้แต่งกัน ว่าแท้จริงแล้ว พี่น้องกริมม์คืออัจฉริยะ หรือ แค่คนโรคจิตที่เขียนนิยายระบายความใคร่กันแน่?

 

ยกตัวอย่าง ดังนี้

 

หนูน้อยหมวกแดง

 

    หนูน้อยหมวกแดง สัญลักษณ์ความวิปลาสการเล่นเซ็กต์ระหว่างคน และสัตว์, แนวคิดของการกินเนื้อคน(Little Red Riding Hood: Inter-Species Sex Play, Cannibalism) 

 

 

     เวอร์ชั่นที่คุณรู้จัก:ใน คริสต์ศตวรรษที่ 19 เรื่องนี้ในฉบับภาษาเยอรมัน ถูกบอกเล่าให้แก่ พี่น้องตระกูลกริมม์. โดยคนพี่ เจค็อบ กริมม์ ฟังมาจาก Jeanette Hassenpflug (ค.ศ. 1791-1860) , ส่วนคนน้อง วิลเฮล์ม กริมม์ ฟังมาจาก Marie Hassenpflug (ค.ศ. 1788-1856) พี่น้องทั้งสอง ได้รวมเนื้อเรื่องจากทั้งสองฉบับนั้น เป็นเรื่องเดียว จนเป็นฉบับปี ค.ศ. 1857 ที่เป็นเนื้อเรื่องที่แพร่หลายในปัจจุบันซึ่งเนื้อเรื่องค่อนข้างจะ จินตนาการมากกว่าฉบับอื่น ๆ ที่ผ่านมา โดยหนูน้อยและคุณยายถูกหมาป่าจับกิน และในภายหลังคนตัดไม้ได้มาช่วย โดยการผ่าท้องหมาป่า ช่วยหนูน้อยและคุณยาย ออกมาได้โดยปลอดภัย

 

เวอร์ชั่นเดิม : ที่มาของเรื่องนี้นั้น เป็นเรื่องที่เล่าปากต่อปาก แพร่หลายอยู่ในหลายประเทศในยุโรป ซึ่งคาดว่าเป็นก่อนช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่เท่าที่ทราบโดยทั่วไป Le Petit Chaperon Rouge เป็นฉบับแรกสุด ที่ได้รับการตีพิมพ์ จากเนื้อเรื่องนิทานพื้นบ้านของฝรั่งเศส โดยเนื้อเรื่องนั้น ได้ถูกพิมพ์ในหนังสือ ในปี ค.ศ. 1697 ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวม นิทานและเรื่องเล่าต่าง ๆ พร้อมคติสอนใจ โดย ชาร์ลส แปร์โรลต์ เนื้อเรื่องของฉบับนี้จะค่อนข้างรุนแรง เพราะมีการร่วมเพศระหว่างคนกับสัตว์

 

  • โดยหนูน้อยหมวกแดงจะระบำเปลื้องผ้าให้หมาป่าที่ปลอมตัวเป็นคุณยายดู …..
  • ก่อนที่หนูน้อยและคุณยายถูกหมาป่าจับกิน และตายไปเลย………
  • ซึ่งเรื่องนี้สอนให้รู้ว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า…..

     ในบางเวอร์ชั่น ตอนที่หนูน้อยกับคุณยายโดนหมาป่ากลืนลงท้องไปแล้ว มีนายพรานมาพบเข้า นายพรายเลยลงมือฆ่าหมาป่า ผ่าท้องหมาป่าช่วยหนูน้อยหมวกแดงกับคุณยายออกมาได้ทัน ซึ่งในต้นฉบับบรรยายไว้แบบนี้

     “นายพรานเอากรรไกรมาตัดท้องหมาป่า 1 ฉับ 2 ฉับ มีขาโผล่ออกมา นายพรานตัดท้องไปอีก 2 ฉับ หนูน้อยหมวกแดงร้องไห้โฮออกมาจากท้องของหมาป่า คุณยายที่โดนหมาป่ากินลงไป ก็ยังรอดอยู่ด้วย” 

     หากลองนึกภาพแล้วการเอากรรไกรตัดท้องหมาป่า ไอ้หมวกที่หนูน้อยหมวกแดงใส่อยู่ตอนแรกมันอาจจะเป็นหมวกขาวก็ได้ การที่เป็นหมวกสีแดงนั้นอาจจะแดงตอนออกมาจากท้องหมาป่านี่แหละ เพราะเปื้อนเลือด

สโนไวท์

สโนไวท์ สัญลักษณ์ของการเสพสังวาชกับสายเลือดตัวเอง (Snow White: Prince Pedophile, More) 

เวอร์ชั่นที่คุณรู้จัก: (Snow White in her coffin, Theodor Hosemann, 1852)โดยมีเนื้อเรื่องย่อคือแม่เลี้ยงใจร้ายอิจฉาสโนไวท์ที่สวยกว่าตนเลยวาง แผนให้นายพรานพาเธอไปฆ่าที่ป่าทึบ และนำหัวใจกลับมาให้เธอดูเป็นหลักฐาน แต่นายพรานกลับปล่อยสโนไวท์ เธอหนีเข้าไปยังบ้านคนแคระทั้ง 7 พอแม่เลี้ยงทราบข่าวว่าเธอยังมีชีวิตอยู่เธอเลยปลอมตัวเป็นหญิงชราเอาแอ็ป เปิ้ลพิษให้เธอกิน และสโนไวท์ก็หลับและนอนในโลงแก้ง จนเจ้าชายผ่านมาและก็จูบเธอ และสโนไวท์ก็ตื่นและอยู่ด้วยกันกับเจ้าชายอย่างมีความสุข

เวอร์ชั่นเดิม:ต้นฉบับดั้งเดิมเป็น นิทานพื้นบ้านของทาง ที่ มีเค้าโครงเรื่องจริงต้นฉบับเดิมคือ สโนไวท์มีแม่เลี้ยงที่บอกนายพรานเธอใส่อะไรนอกเหนือจากการนำหัวใจให้เธอดู ด้วย โดยมี ตับ, ปอด, ลำไส้, อวัยวะภายใน และรวมเลือด 1 ขวด กับนิ้วเท้าของเธอและแม่เลี้ยงจะนำไปกิน (คงแค้นมาก) และพอเสร็จการฆาตกรรมด้วยแอ็ปเปิ้ล แม่เลี้ยงถามกระจกอีก แล้วกระจกบอกว่าสโนไวท์ไม่ได้ตาย และตอนจบสุดท้ายสโนไวท์ ก็แก้แค้นกระทำของแม่เลี้ยงโดยให้เลี้ยงใส่รองเหล้าเหล็กร้อนๆ และบังคับให้แม่เลี้ยงเต้นรำไปจนขาดใจตาย…

  • ที่น่าสนใจคือ สโนไวท์ในฉบับดั่งเดิมนั้นอายุ 7 ขวบเท่านั้น(โอ้แม่เจ้า) แต่เธอต้องแต่งงานกับเจ้าชายที่แก่กว่าตนหลายเท่า ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของยุโรป(หรือเปล่า?)
  • แน่นอนในบางเวอร์ชั่นนั้น สโนไวท์ที่แค่ 7 ขวบก็สวยเกินแม่เลี้ยงแถมฟาดพ่อตัวเองไปเรียบร้อย ส่วนแม่เลี้ยงที่วันๆเอาแต่เฝ้าถามกระจกวิเศษ แท้จริงคือรหัสสำหรับเรียกชู้ของตน ส่วนสโนไวท์หลังจากได้ครองรักกับเจ้าชายก็ยกกองทัพไปทำสงครามกับประเทศตนเอง จับแม่เลี้ยงมาบังคับให้ใส่รองเท้าเหล็กเผาให้เต้นไปจนตาย

     เคยมีอาจารย์นักเขียนคนหนึ่งกล่าวถึงว่า ในต้นฉบับดั้งเดิม เธอมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับพ่อของเธอตั้งแต่เด็ก จึงทำให้แม่แท้ๆ ของเธอโกรธและเกลียดชังเธอมากๆ ( เห็นเขาบอกว่า จริงๆ แล้วราชินีนั้นไม่ใช่แม่เลี้ยง แต่เป็นแม่แท้ๆ ที่ให้กำเนิดสโนว์ไวท์ขึ้นมา )

เจ้าหญิงนิทรา

เจ้าหญิงนิทรา สัญลักษณ์โคม่า เซ็กต์ (Sleeping Beauty: Coma Sex)

เวอร์ชั่นที่คุณรู้จัก: เวอร์ชัน ที่คุณรู้ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1697 เป็นเรื่องราวของเจ้าหญิงหนุ่มที่ถูกสาปแช่งโดยแม่มดที่เจ้าหญิงไม่เชิญเธอ ในงานเลี้ยง โดยแม่มดแช่งว่าเธอจะต้องโดนเข็มเย็บผ้าทิ่มแทงนิ้วมือ และตายเมื่อวันเกิดครบรอบ 15 ปี และเมื่อเธอโดนสาป เธอหลับมานานกว่า 100 ปี(ไม่ยายเหรอนั้นแถมไม่ตื่นอีกแสดงว่ายานอนหลับแรงจัด) และแล้วเมื่อถึงวันคลายคำสาปเจ้าชายเด็กก็บุกป่าผ่าดงและพบเจ้าหญิงอายุกว่า 100 ปี จากนั้นก็จูบ เจ้าหญิงตื่นและใช้ชีวิตอย่างมีความสุข(อิจฉาจังคุณยายได้คั่วเด็ก)

   เวอร์ชั่นเดิม: คุณรู้หรือเปล่า ว่าในนิทานพื้นบ้านฉบับดั้งเดิมนั้น เจ้าหญิงนิทราไม่ได้ตื่นเพราะเจ้าชายจูบ โดยเธอถูก ทำให้หลับโดยพระราชาที่มีมเหสีแล้ว โดยใช้เศษไม้ทิ่มที่ใต้เล็บ และเธอก็หลับไม่ตื่นอีกเลยทำให้พระราชาร่วมประเวณีกับเธอหลายครั้งมานานกว่า ร้อยกว่าปี(พ่อกับลูก!!) ขณะที่เธอยังหลับนั้นก็ได้ตั้งครรภ์ให้กำเนิดลูกแฝด? หลังจากที่เธอได้ให้กำเนิดลูกแฝด แฝดคนหนึ่งต้องการดูดนมแม่ แต่กลับไปดูดเศษไม้ออกจากนิ้วโป้งของเธอ ทำให้เธอได้ตื่นจากนิทราที่ถูกสาป จนเราต้องตั้งคำถามว่ายานอนหลับนี้ยี่ห้ออะไรนี้ถึงหลับนานกว่า 100 ปี โดยไม่ตื่น

ซินเดอเรลลา

ซินเดอเรลลา สัญลักษณ์ ตัดเพื่อสละอวัยวะ, เซ็กส์, สิ่งที่มากกว่าตัดอวัยวะบางชิ้น
(Cinderella: Mutilation, Sex, More Mutilation)

เวอรชั่นที่คุณรู้จัก: (Gustave Doré’s illustration for Cendrillon)เป็นเทพนิยายปรัมปราที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงทั่วทั้งโลก มีการดัดแปลงเป็นรูปแบบต่างๆ มากมายกว่าพันครั้ง โดยที่โด่งดังสุดเป็นของชาร์ลส แปร์โรลต์ นักเขียนชาวฝรั่งเศส รวมถึงสองพี่น้องตระกูลกริมม์ ชาวเยอรมันเนื้อเรื่องเกี่ยวกับเด็กสาวกำพร้าผู้หนึ่งที่อยู่ในอุปถัมภ์ของ แม่เลี้ยงกับพี่สาวบุญธรรมสองคน แต่ถูกทารุณและใช้งานเยี่ยงทาสเพราะเกลียดที่เธอสวยกว่าพวกตน จนกระทั่งวันหนึ่งเทพธิดาก็ปรากฏตัวและเสก ซินเดอเรลลาสวยใส่เสื้ออาภรณ์ที่แสนหรู และรถม้าสี่ล้อขนาดใหญ่จากฟักทอง และพบรักกับเจ้าชาย แต่เจ้ากรรมมนต์นั้นจะหมดฤทธิ์เที่ยงคืนเวลา 24:00 นาฬิกา เธอรีบจนลืมรองเท้าแก้ว(บางเรื่องรองเท้าขนสัตว์) เจ้าชายจึงการออกไปและ พบซินเดอเรลลา, รองเท้าเหมาะสม, และเขาอาศัยอยู่อย่างมีความสุขหลังจากนั้น

     เวอร์ชั่นเดิม: นิทาน เรื่องนี้มีเวอรชั่นที่หลายหลายมากมายซึ่งเก่าแก่เท่าที่พบ พบว่ามันอยู่ในช่วง 850 ก่อนคริสตกาล ก่อนที่เจค็อบกับวิลเฮล์ม กริมม์ (สองพี่น้องตระกูลกริมม์) ซึ่งประพันธ์ขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่ครั้งแรกนั้น เด็กสาวในเรื่องนี้ชื่อว่า แอนน์ เดล ทาโคล หรือ แอนน์แห่งทาโคลบัน ใช้ชื่อตำนานว่า Aschenputtel ผู้มาช่วยเด็กสาวไม่ใช่นางฟ้าแม่ทูนหัว แต่เป็นผลจากคำอธิษฐานต่อต้นไม้วิเศษซึ่งงอกงามขึ้นบนหลุมฝังศพของแม่ของเธอ (ปลาบู่ทองเรอะ) ในเรื่องนี้ และเมื่อเจ้าชายไปตามหาเจ้าของรองเท้า แม่ก็ให้พี่เลี้ยงใจร้ายทั้งสองลองรองเท้า ปรากฏว่าใหญ่เกินไป แม่เลี้ยงเลยจัดการเอามีดตัดสิ้นเท้าทิ้งแล้วบังคับให้ลูกใส่รองเท้าลงไปให้ ได้ จนเจ้าชายเกือบจะหลงเชื่อ แต่ดันมีเจ้านกแถวนั้นผู้รู้เห็นเหตุการณ์มาบอกเจ้าชาย และเมื่อเจ้าชายทราบเรื่องในภายหลังก็แต่งงานกับนางเอก ส่วนพี่เลี้ยงแม่เลี้ยงต่อมานกพิราบสองตัวจิกลูกตาของพวกนาง ทำให้กลายเป็นขอทานตาบอดไปตลอดชีวิตถือว่าเป็นการลงโทษ(??)ที่เหมาะสมแล้ว สำหรับความชั่วของพวกเธอ

ก็เพียงแค่นี้ละกัน สำหรับเหตุผลที่ว่าทำไม เรื่องราวถึงโหดร้ายป่าเถื่อนเช่นนี้ (ไม่เหมือนกับที่ได้รับรู้รับฟังในปัจจุบันเลย) ซึ่งก็มีนักวิจัยบอกว่าคนสมัยนั้นเก็บกดเรื่องเพศเป็นอย่างมากครับ เพราะไม่ได้สิทธิเสรีภาพในการมีเพศสัมพันธ์ได้ตามเสรีชอบ เหมือนปัจจุบัน แล้วก็คนยุคนั้นเชื่อถือในเรื่องพระเจ้ามากด้วย และอาจตีความจากคัมภีร์ไบเบิลผิดๆไปว่า การมีเพศสัมพันธ์ เป็นบาป ทีนี้ก็เลยกลัวบาปกลัวกรรมกันเหมือนคนในสมัยก่อนเลยสิครับ ซึ่ง ณ ขณะนั้น วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่พัฒนา พอคนเรามันเก็บกดมากๆก็เลยต้องระบายอารมณ์แบบนี้แหละครับ เลยทำให้จิตวิปริตไปกันใหญ่ได้นั่นเอง