ตำนาน ผีเปรต ตระกูลผีที่คนไทยควรทราบ
2015-04-28 23:46:12

ตำนาน ผีเปรต

ตระกูลผีที่คนไทยควรทราบ

 

 

เรื่องผีไทยที่ทุกคนรู้จักกันดี แต่หาคนที่จะรู้ว่า “ผีเปรต” ที่เคยได้ยินแต่เล็กแต่น้อยนั้นมีถึง 12 ตระกูลใหญ่ๆ ด้วยกัน ???

ซึ่งหากใครอยากจะทราบรายละเอียดต้องไปดูในคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องเปรตโดยเฉพาะ นิรยกถา อันเป็นคัมภีร์ว่าด้วยเรื่องเปรตโดยเฉพาะ หรือดูจาก จารึกการเปรียญ ณ วัดพระเชตุพนฯ และหาอ่านได้จากประชุมศิลาจารึกวัดพระเชตุพนฯ เล่ม 1 ซึ่งคัดลอกและถ่ายทอดมาโดยย่อดังนี้ 

 

12 ตระกูล 19 จำพวก 4 ชนิด ของผีเปรต ที่คนไทยควรรู้จัก

 

 

 

          หิมวนตปปเทเส วิชาติเปโต นาม เปตวิสโย กาลครั้งหนึ่งยังมี ประเทศแห่งหนึ่งใ นป่าหิมพานต์ ชื่อว่าวิชาตประเทศ ตั้งอยู่เบื้องบนแห่งนรกขึ้นมา อันเป็นที่อยู่แห่งเปรตทั้งหลายมีมหิทธกาเปรตเป็นอธิบดีแก่เปรตทั้งปวง และตระกูลเปรตนั้นมีอยู่ 12 ตระกูล คือ

          1. วันตาสาเปรตตระกูล

          2. กูณปขาทเปรตตระกูล

          3. คูถขาทเปรตตระกูล

          4. อัคคิชาลมุขเปรตตระกูล

          5. สุจิมุขเปรตตระกูล

          6. ตัณหาชิตาเปรตตระกูล

          7. นิชฌามกเปรตตระกูล

          8. สัตตังคาเปรตตระกูล

          9. ปัพพตังคาเปรตตระกูล

          10. อัชครังคาเปรตตระกูล

          11. เวมานิกเปรตตระกูล

          12. มหิทธิกาเปรตตระกูล

 

 

          แต่นอกจากเปรต 12 ตระกูลนี้แล้ว ยังมีเปรตอีก 19 จำพวกอีกต่างหาก ซึ่งได้แก่

          1. สุจิโลมา คือ เปรตผู้มีขนเป็นเข็ม

          2. ขุรโลมา คือ เปรตผู้มีขนเป็นกรด

          3. เอกปาทา คือ เปรตผู้มีเท้าข้างเดียว

          4. อเนกปาทา คือ เปรตผู้เท้ามาก

          5. เอกหตถา คือเปรตผู้มีมือข้างเดียว

          6. อเนกหตถา คือ เปรตผู้มีมือมาก

          7. เอกเจตตา คือ เปรตผู้มีจักษุข้างเดียว

          8. อเนกเนตตา คือ เปรตผู้มีจักษุมาก

          9. ได้แก่ เปรตจำพวกที่กินมลทินครรภ์เป็นอาหาร

          10. ได้แก่ เปรตจำพวกขนหยักเยื่อทูลศีรษะไว้เป็นนิตย์

          11. ได้แก่ เปรตจำพวกกายยาว 25 เส้น นอนกลิ้งอยู่ดุจแผ่นศิลา

          12. ได้แก่ เปรตจำพวกตัวจมอยู่บนภูเขาเพียง สะเอว ไฟไหม้อยู่

          13. ได้แก่ เปรตพวกไถนาอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน

          14. ได้แก่ เปรตจำพวกมีกายสูง มีกลิ่นตัวเหม็นยิ่งนัก

          15. ได้แก่ เปรตจำพวกมีพืชเป็นเหล็กเป็นเปลวเพลิงรัดศีรษะอยู่

          16. ได้แก่ เปรตจำพวกมีร่างกายผอม และเปลือยกายอยู่ตลอดเวลา

          17. ได้แก่ เปรตจำพวกรูปชั่วตัวผอม สะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ศีรษะกลั้วไปด้วยฝุ่น

          18. ได้แก่เปรตจำพวกดำดุจตอไฟไหม้ และ

          19. ได้แก่ เปรตจำพวกสูงเท่าลำตาล มีแต่หนังหุ้มกระดูก

 

 

          นอกจากความเยอะมากมายของตระกูลและจำพวกของเปรต แล้วมีการแบ่งพวกที่ไม่สมประกอบ ด้วยกันอีก 4 ชนิด นั่นคือ

          1. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างไม่สมประกอบ ร่างกายซูบผอมอดโซ

          2. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างพิการ เช่น กายเป็นอย่างร่างของมนุษย์ แต่ศีรษะ เป็นอย่างสัตว์ดิรัจฉาน เช่น ตัวเป็นคนหัวเป็นนกกาบ้าง…เป็นสุกรบ้าง…เป็นสุนัขบ้าง

          3. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างพิกล เสวยกรรมกรณ์ (รับกรรม รับอาญา) อยู่ตา มลำพังด้วยอำนาจบาปกรรมที่ได้กระทำเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์

          4. ได้แก่ เปรตชนิดที่มีรูปร่างอย่างมนุษย์ปกติ แม้เป็นผู้เสวยก็มีวิมานอยู่ แต่ใน ราตรีต้องออกจากวิมานไปเสวยกรรมจนกว่าจะรุ่งเช้า เรียกว่าวิมานนิกเปรต

 

          และอย่างที่เราๆ รู้กันแล้วว่าเปรตนั้นเป็นผีจำพวกหนึ่งซึ่งเคยทำบาปสร้างกรรมเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ครั้น เมื่อตายลงแล้วก็ต้องมารับผลกรรมตามที่ได้สร้างไว้ทำให้ต้องมีความเป็นอยู่อย่างอดอยาก ผอมโซ ชอบส่งเสียงร้องหรือปรากฏตัวให้ชาวบ้านเห็นเพื่อขอส่วนบุญให้ช่วยทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้บ้างเพราะอดอยากหิวโหยซะเหลือเกิน 

 

          ซึ่งโดยทั่วไปคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเปรตเป็นผีชนิดหนึ่งที่มีลำตัวสูง บ้างว่าสูงเท่าลำตาล สูงเท่าต้นตาลหรือยอดตาล บ้างว่าสูงเท่าเสาชิงช้าวัดสุทัศน์ บ้างว่าสูงเท่ายอดธง แต่สำหรับสมัยนี้ก็คงต้องเปรียบเทียบให้เห็นภาพกันใหม่ว่า สูงกว่าตึกห้าชั้นหรือสูงเท่ากับคอนโดมิเดียมริมน้ำอะไรทำนองนี้

 

เสาชิงช้าวัดสุทัศน์ที่เคยเล่าว่าผีเปรตเคยใช้เล่นมาก่อน

 

          สรุปใจความได้ก็คือ เปรตเป็นผีที่มีรูปร่างสูงมากจนมีคำพูดติดปากล้อใครที่ตัวโย่งๆ ว่าสูงยังกับเปรต แต่เนื่องจากกรรมหรือการกระทำในทางที่ชั่วร้ายมีแตกต่างกันไป เมื่อตายแล้วจึงได้เกิดเป็นเปรตชนิดต่างกันไปเช่น คนที่ชอบดุด่าตบดีพ่อแม่ผู้มีพระคุณจะต้องไปเกิดเป็นเปรตจำพวกที่มีปากเท่ารูเข็ม มือโตเท่าใบพายหรือใบตาล อดอยากและหิวโหยอยู่เป็นนิตย์ ลองคิดดูว่าหากใครเกิดมามีปากเท่ารูเข็ม เวลาจะกินข้าวต้องเอายัดเข้าปากไปทีละเมล็ดมันจะทรมาทรกรรมขนาดไหน ซึ่งนี่เป็นคำขู่หรือเตือนสติของคนโบราณ ให้ลูกหลานมีความกตัญญู ให้การเลี้ยงดูพ่อแม่ยามแก่ชราและไม่ทำร้ายทั้งร่างกายจิตใจใครขืนเป็นอย่างที่ว่ารวมทั้งพวกเกกมะเหรกเกเร ชาวบ้านก็จะพากันด่าประณามว่าไอ้เปรต ส่วนคนที่ชอบฆ่าเป็ดฆ่าไก่ ตีไก่ เชือดหมู เชือดวัว อยู่เป็นอาจิณ เวลาตายไปแล้วอาจต้องไปเกิดเป็นเปรตประเภท ตัวเป็นคนหัวเป็นไก่หรือหัวเป็นหมู แล้วตามแต่ผลกรรมที่ใครทำกรรมเอาไว้อย่างไรก็จะได้ผลกรรมอันนั้นตอบสนอง ฉะนั้นเปรตอาจมีอยู่หลายชนิดหลายจำพวก ใครอยากเห็นก็ลองดูรูปปั้นเปรตชนิดต่างๆ ได้ที่วัดไผ่โรงวัว จังหวัดสุพรรณบุรี

 

          เปรตมีที่อยู่อาศัยแตกต่างกันไปตามประเภทและเผ่าพันธุ์รวมทั้งคติความเชื่อที่บอกต่อหรือสืบทอดกันมา บางตำราว่าอาศัยอยู่ตามวัดคอยปรากฏตัวหลอกหลอนหรือแสดงร่างให้เห็นเพื่อขอส่วนบุญ บ้างว่าอยู่ตามท้องทุ่งตามทางเปลี่ยวใครไปเที่ยวดึกๆ กลับบ้านคนเดียวเดินผ่านศาลาวัด หรือตามทางแยก อาจเจอเปรตเดินตามหลังมาส่งถึงบ้าน หรือเดินเป็นเพื่อนมาตลอดทาง ซึ่งหากเจอเปรตก็ไม่ต้องตกอกตกใจอะไรให้วิ่งลูกเดียว หรือหากว่ามีเปรตและผีชนิดใดก็ตามขวางหน้าเราอยู่ โบราณว่าอย่าวิ่งหันหลังกลับเพราะจะโดนมันดักหน้าได้อีก ต้องวิ่งไปข้างหน้าหรือวิ่งฝ่าไปเลย แต่ถ้าจะให้ดีกลางค่ำกลางคืน นอนอยู่บ้านสบายที่สุด...!!! ด้านเรื่องอาหารการกินของเปรตคงไม่ต้องบอกเพราะไม่รู้เหมือนกัน นอกจากมีความเชื่อกันว่า เวลาทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว พวกเปรตก็จะมารับส่วนบุญจากลูกหลานได้กินอิ่มหมีพีมันไปมื้อหนึ่งคราวหนึ่ง ไม่อย่างนั้นก็อดอยากหิวโหย หรือบางทีลูกหลานก็จะถวายเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มแก่พระสงฆ์ด้วย เพื่อให้ผีญาติๆ ของตนไม่ต้องโป๊หรือเปลือยกายล่อนจ้อน หากไม่มีญาติหรือลูกหลานคอยทำอุทิศส่วนกุศลไปให้พวกเปรตเหล่านี้จะหิวโหย ร้องโหยหวย เสียงร้องของเปรตไม่มีใครยืนยันได้ว่าไพเราะเพราะพริ้งขนาดไหน นอกจากในบางตำราบอกไว้ว่า มันส่งเสียงร้องดังกรี๊ดๆ เป็นเสียงหวิวหวีดฟังแล้วชวนวังเวง วิเวกวิโหวเหว ซึ่งเป็นคนละอย่างกับที่พวกวัยรุ่นกรี๊ดเวลาเจอดารายอดนิยมหรือตอนดูคอนเสิร์ตหลังหมอชิต ว่ากันว่าที่เสียงมันดังกรี๊ดๆ ก็เพราะเกิดจากแรงดันของลมจากท้องผ่านช่องปากที่เล็กเท่ารูเข็มเลยกลายเป็นเสียงอย่างที่บอก แต่ถ้าใครทำบุญหากจะอุทิศก็ขอให้กล่าวหรือออกนามพวกผีไม่มีญาติหรือบรรดาผีๆ ทั้งหลายรวมทั้งคุณผีเปรตด้วย เพื่อที่จะได้ไม่หิวโหยร่างกายผอมโซจนน่าเวทนาสงสาร

 

 

รูปปั้นผีเปรตจาก วัดไผ่โรงวัว จังหวัดสุพรรณบุรี

 

          และมีอีกเรื่องที่เคยกับวรรคดีไทยขุนช้างขุนแผน เป็นฉากที่พระพันวษาสั่งประหารชีวิตนางวันทอง นางวันทองก็ได้กลายเป็นผีเปรตที่ไม่มีหัวหรือเปรตหัวขาด แล้ววันหนึ่งนางได้ทราบข่าวว่าพระไวยวรนาถลูกชายกำลังจะไปรบกับผู้เป็นพ่อคือขุนแผน เปรตนางวันทองกลัวพ่อกับลูกจะต้องฆ่ากันเอง พลอยเป็นบาปกรรมติดตัวกันไปเปล่าๆ ก็เลยออกมาห้ามทัพ โดยการแปลงกายเป็นสาวงามนั่งเล่นอยู่บนชิงช้า เพราะรู้ว่าพระไวยฯ นั้นชีกอเหมือนพ่อนั่นแหละพระไวยฯ ไม่ทราบความนัยจึงจีบสาวงามที่ได้พบ แม้เธอจะบอกว่าเป็นแม่หรือนางวันทอง พระไวยฯ ก็ไม่ยอมเชื่อจนนางต้องแปลงเพศกลับเป็นเปรตอย่างเดิมเพื่อให้เห็นแจ้งประจักษ์ และว่ากันว่าเปรตที่นอกจากจะมีรูปร่างผอมโซจนเห็นโครงกระดูกทุกซี่ แถมยังมีความสูงชนิดผีฝรั่งอายแล้ว มันยังสามารถแลบลิ้นได้ยาวเท่ากับความสูงของตัวเองอีกด้วย

 

          หลังจากที่เขียนๆ มาเปรตก็น่าจะเหมือนผีธรรมดาสามัญทั่วไปคือ กลัวพระ กลัวเครื่องรางของขลัง ลองเจอเข้าคงอันต้องเผ่นกระเจิง เพราะผีกับพระไม่ถูกกัน เหมือนงูกับเชือกกล้วยยังไงยังงั้น แต่สำหรับผีเปรตแล้วได้มีท่านผู้รู้แนะนำว่า หากใครเจอระหว่างทางหรือเจอที่ไหนก็แล้วแต่ ให้รีบบอกว่าไปที่ชอบๆ หรือไปผุดไปเกิดซะเถอะ แล้วจะอุทิศส่วนกุศลไปให้ เท่านี้ผีเปรตและผีทั้งหลายก็จะเลิกตอแย หายตัวไปเลย แน่นอนว่าก็อย่าลืมทำตามสัญญา เพราะไม่อย่างนั้นอาจจะเจออีกเป็นรอบที่สอง เพราะคุณผีเขามาทวงส่วนกุศลนั่นเอง แล้วหากภาษากลางเรียกกันว่าผีเปรต ทางเพื่อนชาวอีสานก็จะเรียกว่า ผีเผด ที่เกิดหรือถือกำเนิดขึ้นตามผลกรรมที่เคยได้กระทำเอาไว้สมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ตำราโบราณกล่าวว่า เวลาที่เปรตตัวเดิมจะพ้นจากกรรมได้ไปผุดไปเกิด จะมีเปรตตัวใหม่มารับตำแหน่งแทนดังมีเค้ามาจากนิทานพระมาลัยเรื่องหนึ่ง ดังนี้ คือ ยังมีมานพหนึ่งคนหนึ่งชื่อว่า มิตตวินทุ อยากจะไปเที่ยวทะเลกับพ่อค้าสำเภาจึงเคี่ยวเข็ญเอาเงินทองจากมารดาซึ่งเป็นแม่ม่ายใจบุญ ด้วยความเป็นห่วงลูกชายมารดาก็ขัดขวาง มิตตวินทุปกติเป็นคนเกกมะเหรกเกเรอยู่แล้ว จึงโกรธจนลืมตัวถีบแม่จนล้มแล้วหนีไปเที่ยวทะเลจนได้ แต่ผลกรรมตามทันทำให้เรือแตก มิตตวินทุว่ายน้ำไปขึ้นฝั่งที่เกาะแห่งหนึ่งอันเป็นที่อยู่ของพวกเปรต แต่ชายหนุ่มกลับมองเห็นกงจักรที่หมุนคว้างผ่าศีรษะของพวกเปรตเหล่านั้นเป็นดอกบัวซึ่งประดิษฐ์เป็นมาลาสวมใส่ไว้อย่างสวยงาม แล้วเห็นเลือดที่ไหลย้อยมาตามตัวเป็นสังวาลสาย สร้อย เห็นพวกเปรตที่กำลังร้องครวญครางยกมือยกไม้ชักดิ้นชักงอด้วยความเจ็บปวดเป็นการร้องรำทำเพลงอย่างมีความสุข มิตตวินทุจึงเอ่ยปากขอพวกเปรตรู้ว่ามีผู้มารับกรรมหรือรับช่วงต่อ แสดงว่าพวกตนได้พ้นจากกรรมที่เคยกระทำเอาไว้แล้วก็ดีใจ รีบยกให้อย่างไม่ลังเล จึงเป็นที่มาของคำพังเพยไทยที่ว่า “เห็นกงจักรเป็นดอกบัว” นั่นเอง

 

ภาพวาดที่มิตตวินทุเห็นกงจักรเป็นดอกบัวของผีเปรต

 

          นอกจากนี้แล้วในพจนานุกรมฉบับต่างๆ กล่าวถึงเปรตพอรวมความได้ว่า เป็นสัตว์พวกหนึ่งที่เกิดในอบายภูมิ แปลว่า แดนแห่งความทุกข์เป็นผีเลวจำพวกหนึ่ง มีหลายชนิด รูปร่างสูงโย่งยังกับลำตาล ผมยาว คอยาว ผอมโซเพราะอดอยาก ปากเท่ารูเข็ม มีมือโตเท่าใบตาล กินเลือดและหนองเป็นอาหาร ร้องเสียงดังกรี๊ดๆ ส่วนในหนังสือไตรภูมิพระร่วงได้พรรณนาเกี่ยวกับเปรตเอาไว้ว่า บางจำพวกอยู่ในมหาสมุทร บนยอดเขา ตามไหล่เขา แต่บางจำพวกก็อยู่ในปราสาท มีช้างม้าเป็นข้าทาส บางจำพวกเวลาข้างแรมเป็นเปรต เวลาข้างขึ้นเป็นเทวดา ฯลฯ อันนี้แล้วแต่บุญกรรมที่ได้กระทำกันเอาไว้

 

 

          และนี่ก็คือเป็นเรื่องราวของผีเปรต ผีที่พวกเราๆ ได้ยินมากันตั้งแต่เด็กซึ่งเชื่อว่าใครหลายๆ คนอาจจะเชื่อเรื่องผลกรรมที่ทำไม่ดีกับพ่อแม่แล้วกลายเป็นเปรตอย่างแน่นอน ดังนั้นเรื่องที่ไม่ดีก็คงละเว้นไป หันมาสนใจสิ่งดีงามเพราะนอกจากครอบครัวมีความสุขแล้ว สังคมเองก็ต้องดีขึ้นด้วยแน่ ขอให้ตัวเราและสังคม ยึดถือความดีงาม เป็นสิ่งตั้งต้นในการพึงกระทำต่อสิ่งใดๆ จากนั้นสิ่งดีงามก็จะปรากฎต่อท่าน ครอบครัว ญาติสนิทมิตรสหาย สิ่งแวดล้อม และสังคมโดยรวม มาร่วมด้วยช่วยกันทำในสิ่งดีงามกันมากๆนะคะ 

 

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก khunk2me.wordpress.com ภาพประกอบโดย bloggang.com , youtube.com , faiththaistory.com : ทีมงาน tartoh.com นำเสนอ


Admin : Tartoh
view
:
9437

Post
:
2015-04-28 23:46:12


ร่วมแสดงความคิดเห็น