และหมออธิป สุญาณเศรษฐกร นี้แหละคือคนที่เปลี่ยนชีวิตของนวลฉวีให้อยู่ในรูปของตำนาน!
หมออธิป สุญาณเศรษฐกร เกิดและโตในกรุงเทพฯ เป็นบุตรคนสุดท้องในลูก 5 คน ในครอบครัว พ่อแม่เป็นข้าราชการในกระทรวงพาณิชย์ อดีตเคยเป็นคนในจังหวัดฉะเชิงเทรา
หมออธิปเป็นหนุ่มที่หน้าตาค่อนข้างดี ใจเย็น และฉลาดเฉลียว เขาสามารถศึกษาชั้นเตรียมวิทยาศาสตร์จากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยจนจบเมื่อ พ.ศ. 2494 โดยช่วงเวลาว่างหมออธิปจะสมัครทำงานที่อู่รถใกล้บ้าน เพื่อเก็บเงินซื้อหนังสือเรียนและซื้อขนมกิน
ในปี พ.ศ. 2500 หมออธิปจบการศึกษาแพทย์ศาสตร์ จากศิริราชพยาบาล ได้รับหมายเกณฑ์เข้าประจำสำรองราชการ กรมกำลังพลทหารอากาศ ได้รับว่าที่เรืออากาศโท เข้ารับราชการเป็นนายแพทย์อยู่โรงพยาบาลรถไฟ
ในปี พ.ศ. 2501 หมออธิปย้ายไปเป็นแพทย์รถไฟ หัวหน้าเขต 4 จังหวัดลำปาง
จนพบรักกับนวลฉวีในเวลาต่อมา.................
ย้อนรอย คดีนวลฉวี
ด้วยความเปล่าเปลี่ยวของหนุ่มเมืองที่ต้องห่างไกลความเจริญมาอยู่ท่ามกลางความสงบเงียบแห่งบ้านป่า เมื่อมีโอกาสได้ทำความใกล้ชิดกับหญิงสาวที่มีเสน่ห์ และรู้จักเอาใจอย่างนวลฉวี ทำให้หมออธิปมีความสุขและมีชีวิตชีวา ความรักใคร่ที่ค่อยๆก่อเกิด ชั่วระยะเวลาไม่นานที่ได้อยู่ด้วยกันนี้ สองคนหนุ่มสาวก็ผูกจิตปฏิพัทธ์ และต่างรู้ว่าอีกฝ่ายก็มีใจให้เช่นกัน
หมออธิปได้ทำหน้าที่เป็นมัคคุเทสก์พาหญิงสาวทั้งสองเที่ยวด้วยกันประมาณ 3-4 วัน หลังจากนั้นนวลฉวีกับเพื่อนก็อำลาหมอเดินทางไปที่เชียงใหม่ต่อ ทิ้งความหลังอันหวานชื่นไว้ที่นครลำปาง ดินแดนแห่งการคร่ำครวญหวลหาของนวลฉวี เธอพบชายหนุ่มในดวงใจเข้าแล้ว
ต่อมาจดหมายจากกรุงเทพฯของนวลฉวี ถูกส่งไปถึงมือหมออธิปที่นครลำปางเป็นระยะๆ จนกระทั้งผ่านไป 6 เดือน หมออธิปย้ายกับโรงพยาบาลดังเดิม เขาทำการติดต่อนวลฉวี โดยใช้สื่อทางจดหมายแทนโทรศัพท์เป็นระยะ ความรักทั้งสองยิ่งแน่นแฟ้นจนกลายเป็นสามีภรรยาโดยพฤตินัย โดยใช้บังกะโล และโรงแรม เป็นเรือนหอชั่วคราว
ความรักของคนสองคนดำเนินไปอย่างหวานชื่น โดยต่างฝ่ายปิดบังอำพรางธาตุแท้ของตนเอง…
เดือนกุมภาพันธ์-ธันวาคม 2501 นวลฉวีล้มป่วยในโรงพยาบาลยาสูบ 1 เดือน หมออธิปไปเยี่ยมนวลฉวีหลายครั้ง อาการของเธอบ่งบอกว่าตกเลือดมากแต่เธอไม่บอกใครว่าเธอป่วยเป็นโรคอะไร แต่ดูจากอาการหมออธิปรู้ทันทีว่าเธอคงแท้งลูก
ชีวิตของหมออธิปเริ่มยุ่งเหยิงขึ้น เนื่องจากการมีผู้หญิงเข้ามาในหัวใจของหมอ นางสาวสมบูรณ์ สืบสมาน นักศึกษาสาวแห่งมหาวิทยาลัยเทคนิคทุ่งมหาเมฆ ปีสุดท้าย เธอเป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กของหมออธิป เธอสวยเหลือเกิน
ต่อมาหมออธิปสอบได้ทุนฮุมโบลก์ไปเรียนต่อที่ประเทศเยอรมัน เนื่องจากโรงพยาบาลรถไฟจะเปิดแผนกใหม่ พอกลับมาหมออธิปก็เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกตาที่นี่
ในเดือนมกราคม 2502 ทางการรถไฟส่งหมออธิปไปฝึกงาน โรคหู ตา จมูก ที่โรงพยาบาลศิริราช 6 เดือน ตอนเย็นก็ไปเรียนภาษาเยอรมันที่เลขาทูต ทำให้เวลาที่หมอได้เจอนวลฉวียิ่งหดหายไป
ฝ่ายนวลฉวีเริ่มระแคงระคายความรักของหมออธิป ด้วยความหึงหวง เธอถึงกลับใช้วิธีต่างๆ เพื่อจับหมออธิปให้อยู่หมัด ไม่ว่านั่งเฝ้าหมอในที่ทำงาน ตามทุกหนทุกแห่งเหมือนเงาตามตัว แทนที่หมออธิปจะรักกับเพิ่มความรำคาญแก่หมออธิปมากขึ้น มีอย่างที่ไหนตามอย่างกับเป็นเมียเรานี้แหละ
11 มีนาคม 2502 หมออธิปจดทะเบียนสมรสกับนวลฉวี เพชรรุ่ง ที่ อำเภอยานนาวา
หมออธิปกล่าวถึงวันนั้นว่า "ที่จริงผมไม่อยากจดทะเบียนกับเธอหรอก เพราะไรเหรอ มันก็พูดยาก หลายเรื่องบอกไม่ถูก คือเขาชอบตามผมทุกวันทุกคืน งานการเขาก็ไม่ทำ มานั่งเฝ้า ผมนี้รำคาญสุดๆ ผมไม่อยากจดหรอก แต่จดก็จด มันอยากให้จดก็จดไป จะได้ตัดปัญหาซะที"
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม 17 มีนาคม 2502 หมออธิปจดทะเบียนสมรสกับ นางสมบูรณ์ สืบสนาม ที่อำเภอพระเนตร
สมรสซ้อน!??
"....พอผมจดทะเบียนกับนวลฉวี สมบูรณ์เขารู้ ขอจดทะเบียนกับเขาอีก ผมก็ตัดปัญหานี้ไป อยากให้เรื่องมันเงียบหาย จะได้ไม่ไปบอกใครให้เป็นขี้หูคนอื่น"
แต่กระนั้นนวลฉวีและสมบูรณ์ก็มีเรื่องระหองระแหงกันนับตั้งแต่จดทะเบียนกับหมออธิป ถึง 7 ครั้ง เคยทะเลาะกันในโรงพยาบาลที่หมออธิปทำงานอยู่ จนหมออธิปเคยขอผู้ใหญ่ออกคำสั่งห้ามไม่ให้ผู้หญิงสองคนนี้เข้าในโรงพยาบาลอย่างเด็ดขาด" นอกจากนี้นวลฉวีเคยไปฟ้องอาจารย์ที่วิทยาลัยเทคนิคทุ่งมหาเมฆหลายครั้ง
แม้ว่านวลฉวีจะจดทะเบียนสมรส แต่เธอยังไม่ได้แต่งงานกับหมออธิปสักที แถมหมอก็ไม่เอาใจใส่ตนเหมือนครั้งก่อนๆ เธอต้องการแต่งงานกับเขา เธอต้องใช้วิธีต่างๆ ให้เขาอยู่ในใจฉันให้ได้ และนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่นวลฉวีก้าวผิด จังๆ
พฤษภาคม 2502 นวลฉวีบอกครอบครัวว่าเธอกับหมออธิปจะแต่งงานกัน ครอบครัวเลยเชิญให้หมออธิปมากินข้าวเย็นด้วยกัน เพื่อคุยเรื่องแต่งงาน แต่หมออธิปไม่รู้เรื่อง ผมไม่ได้บอกเธอครับ เธอคิดไปเอง"
4 มิถุนายน 2502 พ่อของนวลฉวี มาพบนวลฉวีที่กรุงเทพฯ นวลฉวีบอกพ่อว่าเธอได้เสียกับหมอแล้วตอนทำงานที่โรงพยาบาลรถไฟ หมออธิปรู้ข่าวเลยบอกว่าจะเลี้ยงดูนวลฉวีให้ แต่เรื่องก็เงียบหายไป"
5 มิถุนายน 2502 นวลฉวีพบหมออธิปอยู่กับผู้หญิงในโรงพยาบาลรถไฟ เกิดการทะเลาะวิวาทขึ้น
11 หรือ 12 มิถุนายน 2502 นวลฉวีบอกกับพี่เขยว่าจะไปอยู่กับหมออธิปนี้ไงเตรียมขนของแล้วนะ ส่วนหมออธิปรู้เรื่องนี้หรือเปล่า ไม่รู้สิ เขาคงไม่รู้มั้ง?
13 มิถุนายน 2502 นวลฉวีถูกไล่จากครอบครัวหมออธิป (ตอนนั้นหมออธิปไม่อยู่บ้าน) มันน่าไล่จริง ๆ นี้มารอตั้งแต่เช้าจนถึงตี 1 ไม่ยอมกลับ พอหมออธิปกลับมาบ้านก็โดนครอบครัวด่า "เมียแกคนบ้าหรือเปล่าเนี้ย"
เหตุการณ์ครั้งนี้นวลฉวีได้ระบายเรื่องทั้งหมดลงใน "สมุดบันทึก" ซึ่งภายหลังสมุดนี้กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ที่ใช้สืบหาฆาตกรที่ก่อคดีฆ่าเธอยกแก๊ง ปัจจุบันหลักฐานนี้อยู่ในการดูแลของห้องพิพิธภัณฑ์นิติเวชวิทยา โรงพยาบาลศิริราช เคียงข้างกับร่างสงบนิ่งของฆาตกรใจโหดนาม "ซีอุย"
13 กรกฎาคม 2502 เวลา 11.30 น. นวลฉวีเข้ามาโรงพยาบาลดุ่มๆ หาคุณหมออธิป เหตุการณ์ครั้งนี้ได้ถูกบันทึกไว้ในสมุดบันทึกดังนี้...
"ดิฉันพบนายแพทย์อธิปสามีฉันที่โรงพยาบาลรถไฟ จากนั้นก็คุยเรื่องปัญหาชีวิตของเราทั้งสอง...."
หมออธิปเริ่มระงับอารมณ์ไม่อยู่ นี้ผมทำต้องทำงานนะ มากวนอยู่ได้ ว่าแล้ว หมอก็กำหมัด ต่อยไปที่ใบหน้านวลฉวีจังๆ นวลฉวีกรีดร้อง "ช่วยด้วย หมอรังแกผู้หญิง" , "หมอจะฆ่าเมีย ช่วยด้วยหมอจะฆ่าเมีย" จนหมออธิปเข้ามาปลอบและพาไปยังห้องคนไข้ พร้อมสายตาคนเกือบทั้งโรงพยายามที่มองไปยังคนทั้งสอง
13 กรกฎาคม 2502 นวลฉวี แจ้งความตำรวจว่าถูกหมออธิป ทำร้ายร่างกายตน
14 กรกฎาคม 2502 หมออธิปตกลงเงื่อนไขนวลฉวีให้ปรองดองกัน เพราะเป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องเลยจบลงที่การบันทึกประจำวัน
15 กรกฎาคม 2502 บาดแผลที่หมออธิปชกหน้านวลฉวีลุกลาม และเจ็บปวดมาก แต่นวลฉวีขอตำรวจไม่เอาผิดหมออธิปเพิ่ม เพราะกลัวเขาเสียอนาคต เธอบันทึกเรื่องราวนี้ในสมุดบันทึกอย่างละเอียด...
เรื่องนี้ส่งผลให้นวลฉวีต้องเข้านอนโรงพยาบาล โดยนวลฉวีขอให้หมออธิปเป็นผู้รักษาเธอ แต่ถึงกระนั้นหมออธิปก็ไม่มาหาเธอมากนัก
เรื่องนี้หมออธิปเดือดดานสุดๆ ถึงกับระบายเหตุการณ์ในครั้งนี้ว่า "อยากจะบ้าตาย ถูกมาบังคับให้นอนเฝ้าด้วย โอ๊ย! ผมต้องทำงานนะ บางคืนก็เฝ้าทั้งที่ทำงานอยู่ ไปเฝ้านานก็ไม่ได้ เดี๋ยวสมบูรณ์เข้าไปอาละวาดอีกเรื่องมันจะวุ่น"
17 กรกฎาคม 2502 พ่อของนวลฉวีมาเพื่อเอาเรื่องกับหมออธิป ช่วงนี้หมออธิปดูแปลกๆไป ไม่สนใจเรื่องนี้มานัก เขาพูดสั้นๆว่า "แล้วแต่ศาล"
นวลฉวีบันทึกเหตุการณ์นี้ลงสมุดบันทึก ด้วยคำสาปแช่งถึงหมออธิป "เชิญแกไปหาเมียใหม่ตามสบายเถอะ ฉันรู้นะว่าปีศาจในตัวแกจะแสดงบทบาทอย่างไรในอนาคตอันใกล้นี้......."
22 กรกฎาคม 2502 นวลฉวีทำหนังสือร้องเรียนให้สารวัตรฝ่ายสืบสวน เล่าว่าหมออธิปไม่ทำตามทัณฑ์บนที่ทำไว้ให้ นอกจากนั้นยังทำทารุณกับเธออีก โดยดึงสะโพกไปกระแทกกับก๊อกน้ำและเลือดไหล ความเจ็บปวดยากจะบรรยาย จึงอยากขอให้พิจารณาดำเนินคดีใหม่อีกครั้ง
28 สิงหาคม 2502 หมออธิปไปที่โรงพัก เพื่อการทำการสอบสวน เขาสารภาพทุกอย่างตามที่กล่าวหา
31 สิงหาคม 2502 หมออธิปได้รับโทรศัพท์จากนวลฉวีให้ไปหานายธวัชเพื่อนของเธอ และเป็นที่ปรึกษาคดีทำร้ายร่างกายของเธอด้วยในครั้งนี้ หมออธิปไปตามที่นวลฉวีที่ทำการรถไฟสถานีกษัตริย์ศึกเวลา 10.00 น. นายธวัชแนะนำให้หมอกับนวลฉวีคืนดีกัน หมออธิปรับปาก จึงได้เขียนจดหมายใส่ซองปิดผลึกให้ พ.ต.อ. เจ้าของคดีนี้ ใจความว่า
"เราจะคืนดีกันแล้ว....."
และก็ถึงวันนั้น...................
1 กันยายน 2502 หมออธิปและนวลฉวีเข้าพบสารวัตรใหญ่พญาไท ขอให้ระงับคดีทำร้ายร่างกาย ก่อนที่จะนั่งรับประทานอาหารที่โรงหนังคิงส์ ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ
9 กันยายน 2502 นายธวัชไม่สบาย จึงขอลางานเพื่อไปเยี่ยมนวลฉวี นวลฉวีชวนนายธวัชไปวัดสามง่ามเพื่อเอายาไปถวายพระ และให้พระดูดวงให้ พระบอกนวลฉวีไว้ว่า "ต่อไปนี้ซะตาจะดีแล้ว!???"
เวลา 20.30 น. หมออธิปเข้าพบนวลฉวีและนายธวัช พูดจาเรื่องเรือนหอของเราสองคน
เวลา 23.00 น. นายธวัชกลับไปก่อน ต่อมา นางพยาบาลเรียกให้หมออธิปให้ดูคนไข้ ที่กำลังจะคลอด หมออธิปช่วยคนไข้อยู่นานจนถึงเที่ยงคืน จึงนำนวลฉวีส่งโรงพยาบาลยาสูบเพราะนวลฉวีรบเร้า
จนกระทั่ง............ นวลฉวีโทรศัพท์ถึงนายธวัชบอกว่า เมื่อคืน ตอนที่หมออธิปมาส่งที่โรงพยาบาลยาสูบ เราทะเลาะกัน รายละเอียดจะคุยให้ฟังตอนเย็น ถ้าเลิกงานแล้วให้ไปพบที่โรงพยาบาลยาสูบ
เย็นวันนั้น นายธวัชมัวไปทำธุระที่อื่น ก่อนจะไปโรงพยาบาลยาสูบเป็นที่ต่อไป จวนเวลา 1 ทุ่ม แต่ไม่พบนวลฉวี ยามยาสูบเห็นเธอแต่งตัวออกไปข้างนอกนานแล้ว..... นวลฉวี จากไป และไม่กลับมาอีกเลย
พบศพ
เช้าวันที่ 12 กันยายน 2502 เวลา 8.45 น.
นายจำลอง จิรัตฐิตกุล ช่างกลปากเกร็ดนั่งเรือแท็กซี่จากบ้านที่คลองอ้อมไปทำงาน ระหว่างที่นั่งเรือแท็กซี่นั้นเขาได้พบกับ ศพ!
ศพนี้ลอยแม่น้ำมาอย่างเวทนา ในแม่น้ำเจ้าพระยาห่างจากตัวนนทบุรีประมาณ 2 กิโลเมตร อยู่ระหว่างโรงงานกระดาษเก่ากับวัดเฉลิมพระเกียรติ นายท้ายเรือเข้าไปดูศพสวมเสื้อสีฟ้าอ่อน นุ่งกระโปรงดำเป็นลายปัก ศพอยู่ในลักษณะหงายมือพาดหน้าอก คาดเข็มขัดโตสีฟ้า ที่ข้อมือและแหวนทองลงยาจารึกนามสกุล "รามเดชะ"(สกุลเดิมของหมออธิป)
เมื่อเรือแล่นมาถึงจังหวัดนนทบุรี นายจำลองแจ้งความต่อตำรวจนนทบุรีทันที ศพถูกส่งไปวัดนครอินทร์ ต่อด้วยโรงพยาบาลตำรวจนนทบุรี เพื่อการชันสูตรศพ เป็นการด่วน
ผลจากการชันสูตร สาเหตุการตายเนื่องจากบาดแผลถูกแทงจนเลือดตกในมากและสิ้นใจก่อนถูกโยนลงน้ำ บาดแผลที่ถูกแทงมีทั้งหมดข้างขวาและที่หลังด้านซ้ายรวม 3 แผล แต่เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของศพไม่พบรอยฉีดขาด
"ท่ามกลางความมืดของคืนวันหนึ่งในเดือนกันยายน 2502 ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งได้ลงมือสังหาร นวลฉวี นางพยาบาลสาวถึงแก่ชีวิตตามที่ได้รับว่าจ้าง ..."
วันที่ 13 กันยายน 2502 22.00 น. ศพที่พบลำน้ำเจ้าพระยาถูกประกาศอย่างเป็นทางการว่าเป็นผู้ตายชื่อนวลฉวี (สืบจากชื่อที่สลักของแหวน) หมออธิปทราบข่าวการตายของนวลฉวี และเผชิญหน้ากับกองทัพนักข่าว หมอตอบสั้นๆว่า "เธอเป็นภรรยาผมก็จริง แต่เราไม่อยู่ด้วยกันครับ แยกกันอยู่ พรุ่งนี้ค่อยไปรับศพครับ เพราะมันดึกแล้ว แหะๆ"
คดีนี้เดาผู้ต้องสงสัยไม่ยาก เพราะนวลฉวีไม่มีศัตรูภายนอกที่ไหน ยกเว้นภายในและมากที่สุด เห็นจะไม่เกินสามีที่อยากกำจัดภรรยาจอมยุ่งให้ไปพ้นๆ ทาง
หมออธิป
14 กันยายน 2502 ตำรวจเชิญตัวหมออธิปไปสอบสวน และพบรอยข่วนที่ข้อมือหมอ ตำรวจไม่รอช้าถ่ายบาดแผลนี้เก็บเป็นหลักฐานพร้อมกับแจ้งข้อหา "หมอฆ่าเมีย" ทันที
ในกลางดึกของกลางเดือนกันยายน ภายหลังจากหมออธิปถูกจับ ขบวนรถตำรวจรับหมอและคุ้มกันอย่างแน่นหนา โดยหมออธิปนั่งมา เพื่อไปสถานที่แห่งหนึ่ง
"จอมพลสฤษดิ์อยากพบหมอครับ มีอะไรก็รับๆ เสียนะครับ ถ้าไม่รับหมอโดนยิงเป้าแน่ ฮะๆ คิดดูให้ดีนะครับหมอ"
หมออธิปหน้าซีด เพราะจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในขณะนั้นเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ และเป็นนายกรัฐมนตรี พ่วงด้วยอธิบดีกรมตำรวจ มีนิสัยชอบสั่งยิงเป็นคนเป็นว่าเล่นเหมือนผักเหมือนปลา ตอนตำรงตำแหน่งนายกก็สั่งยิงเป้า ถึง 6 คน
ภายในห้องทำงานบุรุษร่างใหญ่ผิวคล้ำ ท่าทางเด็ดขาดน่าเกรงขามนั่งรอท่าอยู่ก่อนแล้ว หมออธิปเย็นวาบถึงไขสันหลัง สักครู่ท่านหัวหน้าคณะปฏิวัติไม่พูดร่ำทำเพลงพูดด้วยเสียงเด็ดขาด
"หมอฆ่าเมียตัวเองอย่างที่เป็นข่าวจริงไหม ถ้าจริงจงรับมาเสียอย่าปากแข็ง พูดตรงๆ แบบลูกผู้ชายดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลา"
"ผมไม่ได้ทำครับ ผมขอปฏิเสธ" หมออธิปรวบรวมกำลังใจพูด
"มันเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานจริงๆ มันเหมือนกับตัวเองไปหาพยายมเพื่อตัดสินความผิดอย่างงั้นแหละ" หมออธิปย้อยความหลัง
ทางด้านตำรวจยศสูงต่างๆ ในสถานีตำรวจนนทบุรีได้ร่วมทำการสืบสวนสอบสวนในคดีนี้ และทราบว่าหมออธิปมีเพื่อนสนิทคือนายชูยศและนางสุขสมพ่อของเขาเคยเป็นคนไข้ของหมออธิปมาก่อน และรักษาพ่อจนหาย ทำให้ชูยศซึ้งในน้ำใจของหมออธิป ถึงขนาดยอมตายแทนหมอเลยแหละ
17 กันยายน 2502 หนังสือพิมพ์แต่ละสำนักต่างลงข่าวว่า นายชูยศ มีส่วนเกี่ยวข้องคดีฆ่านวลฉวี
ผลจากการชันสูตรนวลฉวี มีการเพิ่มเติมคือ ตอนที่เธอถูกแทงนั้น เธอไม่ได้สวมเสื้อผ้าและจากการตรวจสอบบนสะพานพบรอยหยดเลือดเล็กบ้างใหญ่บ้าง แสดงถึงการเอาศพมาถึงที่จุดนั้น
หลักฐานการสืบสวนคดีฆ่านวลฉวีเพิ่มขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ตำรวจพบกระดุมสีน้ำตาลแก่ตก 1 เม็ดบนพื้นถนนริมทางหลวง รอยเลือดจากราวสะพานเหล็กที่เป็นคราบสีน้ำตาล ฯลฯ
20 กันยายน 2502 ตำรวจบุกไปบ้านของนายชูยศในสวนบางบำหรุ ธนบุรี แต่ไม่มีคนอยู่ ประตูใส่กุญแจไว้ จากการตรวจสอบบ้านได้พบรอยเลือดที่พื้นบันได้หลังบ้าน ตำรวจจึงเก็บหลักฐานเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังพบเลือดที่พื้นห้องครัวเรือนบนเตียงและที่พื้นบันได ทั้งพบหลอดยาเอทิลคลอไรด์ พร้อมมีดปลายแหลมในห้องครัว
27 กันยายน 2502 นายชูยศพร้อมภรรยาเข้ามอบตัวกับตำรวจ มีการสอบสวนนิดๆ หน่อยๆ ก่อนปล่อยตัวกลับไป โดยไม่มีการตั้งข้อกล่าวหา
14 ตุลาคม 2502 เจ้าหน้าที่คุมนายชูเกียรและภรรยาไปหาจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์(อีกแล้ว) เพราะคดีฆ่านวลฉวีดังมากในยุคนั้น และตัวจอมพลก็สนใจ แต่กระนั้นนายชูยศไม่ได้เข้าพบจอมพล มีเพียงแต่ภรรยาชูยศเท่านั้นที่พบ
นายกรัฐมนตรีถามนางสุขมภรรยาของนายชูยศ "มีความสัมพันธ์กับหมออธิปอย่างไร"
นางสุขุมคิดว่านายกถามเรื่องเงินทองๆ เลยตอบว่า "มี"
และแล้วรุ่งเช้าหนังสือพิมพ์ก็พาดหัวข่าว "นางสุขสมยอมรับจอมพลว่าเสียตัวให้หมออธิป!!" (ข่าวกรองมากๆๆ)
28 ตุลาคม 2502 นายมงคล เรื่อเรืองรัตน์ สัปเหร่อและช่างไม้ที่มีบ้านติดๆ กับนายชูยศมาก่อนถูกตำรวจควบคุมตัวที่วัดน้อยนางหงส์ ฐานสงสัยว่าเป็นคนฆ่านวลฉวีฆ่ามือ
30 ตุลาคม 2502 คำให้การพยานมากหน้าหลายตา ทั้งเพื่อนของนวลฉวี ยามยาสูบ ที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตำรวจเชื่อว่าหมออธิปต้องเป็นผู้ฆ่านวลฉวีอย่างแน่นอน และไม่นานนัก ตำรวจก็สามารถจับผู้ต้องสงสัยฆ่านวลฉวีได้ยกแก๊งประกอบไปด้วย
- นายชูยศและนางสุขสม ตัวกลางประสานแผนการ
- นายมงคล เรื่อเรืองรัตน์ สัปเหล่อมือสังหาร เคยมีประวัติหนีคดีที่อื่นมาก่อน มีอาชีพเป็นสัปเหร่อและช่างไม้อาศัยอยู่บ้านแม่ยายติดๆ กับนายชูยศ
- นายชูเกียรติ ผู้ช่วยฆ่า
- นอกจากนี้มีผู้ต้องสงสัยอีกคือ นายยง ยิ้มกมล และนายเยี่ยม แต่ตำรวจกันไว้เป็นพยาน
ทั้งหมดให้การรับสารภาพในเวลาต่อมา ....!
น่าแปลกที่ผู้ต้องสงสัยทั้งหมดก่อนถูกจับไม่มีท่าทีคิดจะหนีสักนิด.....(พวกนั้นแก้ตัวว่าหลังทราบข่าว ทั้งแก๊งก็กลัวขี้หดตดหายไปแล้ว ส่วนผู้ว่าจ้างหมออธิปก็เงียบไม่มาช่วยวางแผนว่าเอาไงดีเลย )
การพิจารณาศาลเป็นไปด้วยความดุเดือดเลือดพล่านเพราะมันเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ไทยต้องจารึก ใครแพ้มีหวังล่มจม....ส่วนประชาทั้งประเทศต่างจับจ่อคดีนี้แบบไม่กระพริบตา อยากรู้ว่าผลความยุติธรรมจะทำให้นักโทษทั้งหมดโดนประหารหรือไม่ .. !!!
แต่ท้ายที่สุดหลังจากนั้น หมออธิปถูกจำคุกเพียง 1 ปีเศษเท่านั้น เหลือเชื่อ........???
อย่างไรก็ตาม ภายหลังหมออธิปพ้นโทษ ชีวิตที่เหลือก็เข้าๆ ออกโรงพยาบาลอยู่บ่อยๆ เพราะโรคติดตัวตอนอยู่ในคุก และจนถึงวาระสุดท้าย....หมออธิปนอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ท่ามกลางญาติสนิท หมออธิปเอยปากก่อนตายเรื่องนวลฉวี ว่า
"นวลฉวี พี่ขอโทษ พี่เป็นคนฆ่าเธอเองแหละ................" พอพูดจบ หมออธิปก็สิ้นลมตายคาเตียงไปเลย
หลังจากนั้นมา ทุกคนต่างเรียกสะพานสะพานนนทบุรีสถานที่ทิ้งศพนวลฉวีนี้ว่า
" สะพาน นวลฉวี "
และหลังจากนั้น(อีก) บ้านที่นวลฉวีถูกฆ่าในสวนบางบำหรุก็ถูกเล่าลือว่าเห็นผีผู้หญิงอยู่บ้านหลังนั้น ทุกคนต่างเรียกหลังนั้นกันว่า
" บ้านผีสิง "
บันทึกรักนวลฉวีหนี้ลิขิต เมื่อมีจิตริษยาน่าสงสาร
นวลฉวีคือรักหมอพยาบาล เปิดตำนานฆาตกรรมซ้ำรอยมา
อุทาหรณ์ความรักนวลฉวี คือการพลีร่างให้ชายได้หวนหา
แต่ความรักของชายมักโรยรา ยามเมื่อคราสุขสมอารมณ์ปอง
ผู้ใหญ่สอนวอนว่าน่าคิดนัก อันความรักนั้นเป็นหนึ่งไม่มีสอง
แต่สมควรดำเนินความตามครรลอง ท่วงทำนองประเพณีที่ดีงาม
ที่สำคัญยามรักร้างและลาจาก ต้องยอมรักความพลัดพรากอีกขวากหนาม
อย่าขึงเคียดโกรธแค้นพยายาม เที่ยวติดตามกระชากรักกลับคืนมา
ชีวิตจึงจบลงด้วยความเศร้า ยามรักร้าวชีวิตเปลี่ยนแปรผัน
นวลฉวีเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ฆาตกรรมลือลั่นสนั่นเมือง
หญิงชายจงจำไว้เป็นเยี่ยง แต่อย่าเพลี่ยงพล้ำดำเนินเรื่อง
ความรักมิใช่มีให้ขุ่นเคือง อย่าสร้างเรื่องฆาตกรรมอันเกรียงไกร
..........................................................................................................................
ขอขอบคุณข้อมูลโดย oknation.net และภาพประกอบเพิ่มเติมจากอินเตอร์เน็ต