เกร็ด ความรู้เรื่อง " ฮิสทีเรีย " ที่คุณอาจเข้าใจผิดมานาน ... !!! / ฮิสทีเรีย คือ โรคที่ขาดผู้ชายไม่ได้....จริงๆน่ะหรือ ... ???
2014-09-16 12:22:00

เกร็ด ความรู้เรื่อง " ฮิสทีเรีย " ที่คุณอาจเข้าใจผิดมานาน ... !!!

 

ฮิสทีเรีย คือ โรคที่ขาดผู้ชายไม่ได้....จริงๆน่ะหรือ ... ???

 

  • คงมีคนไม่น้อยที่เข้าใจว่า โรคขาดผู้ชายไม่ได้ หรือลักษณะของผู้หญิงที่เกิดความต้องการทางเพศสูงนั้น คือ โรคฮิสทีเรีย (Histeria) แต่แท้ที่จริงแล้ว นั่นเป็นความเข้าใจผิด !
  •  

นั่นเป็นความเข้าใจที่ผิด เป็นความผิดพลาดทางภาษา ความมักง่ายในการใช้ภาษา การคิดไปเองของคนทั่ว ๆ ไป ซึ่งแล้วแต่ใครจะเรียก จึงทำให้ "ฮิสทีเรีย" นั้นได้กลายไปเป็น "โรคขาดผู้ชายไม่ได้"..!!! ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว ผู้ที่เป็นฮิสทีเรียนั้น จะมีอาการที่เรียกว่าการขาดความอบอุ่นอยู่ด้วยในตัว และโดยธรรมชาติของมนุษย์ ก็คือต้องการที่ยึดเหนี่ยว หรือต้องการที่พึ่งพิง โดยความต้องการเหล่านี้ จะเพิ่มพูนสูงขึ้นมาก กับผู้ที่เป็น "ฮิสทีเรีย" ซึ่งถ้ามองอีกแง่หนึ่งอาจจะเป็นคนประเภทที่พึ่งตัวเองไม่ได้เลย ก็ว่าได้ และจากเหตุนี้เอง ทำให้เมื่อมีใครสักคนหนึ่งมาทำดีด้วยกับตน ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกผูกพันธ์ขึ้นอย่างรวดเร็ว และในบางรายอาจจะเกิดอาการของการแสดงความเป็นเจ้าของในระดับหนึ่ง 

ฮิสทีเรีย (Hysteria) เป็นชื่อเรียก โรคทางจิตเวชในกลุ่ม Somatoform Disorders ของอาการทางประสาทชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้ที่เป็นฮิสทีเรีย จะมีอาการ เกี่ยวกับ การควบคุมอารมณ์  การควบคุมจิตสำนึก ด้านการกระทำลดลง และความกลัวต่าง ๆ โดยอาการฮิสทีเรียนั้น ถือว่าเป็นชนิดหนึ่งในประเภทของ โรควิตกกังวล ก็ว่าได้ หรือจะเป็น โรคขาดความอบอุ่น ก็ได้เช่นกัน

สาเหตุหลักของ "โรคฮิสทีเรีย"

 สาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการฮิสทีเรียเกิดจากหลายปัจจัย เช่น
 1. ปัญหาครอบครัว ปัญหาการงาน หรือปัญหาอื่นๆ
 2. ความเครียด ความวิตกกังวล ความหวาดกลัว หรือความขัดแย้งในจิตใจสูง
 3. ความกดดันจากสภาพแวดล้อม
 4. บุคลิกภาพผิดปกติ
 5. ปัจจัยทางพันธุกรรม 


 
ฮิสทีเรียมีลักษณะอาการอยู่ 2 ลักษณะ คือ

1. โรคประสาทฮิสทีเรีย (Conversion Reaction) 
 คือคนที่มีความเครียด กังวลใจ หรือเกิดความขัดแย้งในจิตใจอย่างรุนแรง พวกนี้จะเกิดการผิดปกติที่ระบบการเคลื่อนไหวหรือรับรู้ เช่น เป็นอัมพาต ชาตามแขนและขา  ก็คือเมื่อเกิดความเครียด ความหวาดกลัว หรือความขัดแย้งในจิตใจอย่างรุนแรง สภาวะดังกล่าวจะถูกเปลี่ยนเป็นอาการทางกาย คือจะเกิดความผิดปกติที่ระบบการเคลื่อนไหวหรือการรับรู้ เช่น เป็นอัมพาต กล้ามเนื้อไม่มีแรง มีอาการชาตามแขนขา พูดไม่ได้ ตามองไม่เห็น จมูกไม่ได้กลิ่น เสียการทรงตัว กล้ามเนื้อกระตุก ชัก เป็นต้น  ซึ่งอาการเหล่านี้จากการตรวจไม่พบความผิดปกติทางร่างกายหรือทางระบบประสาท แต่อย่างใด อาการที่เกิดขึ้นมักเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น คนที่มีอาการแขนเป็นอัมพาตก็เป็นอัมพาตอย่างเดียว พูดไม่มีเสียงอย่างเดียว เป็นต้น และมักเกิดภายหลังความตึงเครียด ความผิดหวัง หรือความสูญเสียอย่างรุนแรง เช่น หลังสงคราม หรือการตายของบุคคลที่ตนรักมาก  หรือสภาพความขัดแย้งภายในจิตใจอย่างหนัก 

สิ่งสำคัญก็ คือ  คนที่มีอาการฮิสทีเรียนั้นไม่ได้แกล้งทำหรือตั้งใจให้เกิดอาการดังกล่าว และตัวผู้ป่วยเองก็ไม่รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ตนมีอาการนั้นมาจากภาวะทางจิต 

ที่สำคัญอีกอย่าง ในการที่จะระบุว่าอาการของผู้ป่วยคืออาการของฮิสทีเรียจริงๆ ก็คือ จะต้องแน่ใจว่าอาการที่เกิดขึ้นไม่ใช่อาการทางร่างกาย คือจากการตรวจร่างกาย ระบบประสาท ไม่พบความผิดปกติใดๆ

Dissociative Type  คือคนที่สูญเสียความจำในบางเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจจนไม่ต้องการรับรู้ แบ่งออกได้เป็น 3 ลักษณะ ได้แก่

              1. ผู้ป่วยจะสูญเสียความทรงจำที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างมาก โดยที่ไม่ได้มีความผิดปกติทางสมอง  เช่น ผู้ป่วยขับรถพาครอบครัวไปเที่ยว แล้วรถเกิดอุบัติเหตุ ทุกคนเสียชีวิตหมดยกเว้นผู้ป่วยซึ่งไม่ได้รับบาดเจ็บเลย  และผู้ป่วยจำเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลย

              2. หลังจากเกิดความขัดแย้งหรือมีการทะเลาะโต้เถียงอย่างรุนแรง ผู้ป่วยเดินทางออกจากบ้านหรือที่ทำงานทันที โดยไม่รู้สึกตัว  และลืมตัวตนของตัวเอง ผู้ป่วยอาจงง เสียการรับรู้เวลา สถานที่ และบุคคล ในบางราย อาจเปลี่ยนไปเป็นอีกคนหนึ่งเลย คือจำตัวตนเดิมของตนไม่ได้ และคิดว่าตัวเองเป็นอีกคนหนึ่ง เมื่อมีคนถามก็จะบอกชื่อบอกที่มาของตัวเองเป็นคนใหม่ไป  โดยที่เข้าใจว่าตนเป็นคนคนนั้นจริงๆ และจำตัวตนเดิมของตนไม่ได้เลย

              3. มีบุคลิกภาพที่แตกต่างกัน 2 แบบหรือมากกว่าอยู่ในตัวคนเดียว และบุคลิกภาพแต่ละแบบจะเด่นในแต่ละเวลาโดยเฉพาะ  เช่น ปกติเป็นคนเงียบๆอ่อนหวานก็เปลี่ยนเป็นคนดุดัน



 

2. บุคลิกภาพแบบฮิสทีเรีย (Histrionic Personality Disorder) ผู้ที่มีอาการในกลุ่มนี้ จะมีลักษณะที่พยายามทำตัวโดดเด่น เรียกร้องความสนใจอยู่ตลอดเวลา บุคลิกของคนกลุ่มนี้จะมีลีลาท่าทางการแสดงออกมากจนเหมือนเล่นละคร การแสดงอาการและอารมณ์ต่างๆ จะดูเกินจริง  จนดูเหมือนเสแสร้ง เจ้ามารยา  และการที่กิริยาท่าทางแสดงออกเพื่อดึงดูดความสนใจ จึงดูเหมือนเป็นการยั่วยวนเพศตรงข้าม  ทำให้คนจึงมักเข้าใจผิดว่าคนที่เป็นฮิสทีเรียนั้นมีความต้องการทางเพศสูง ต้องการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่เลือก ที่จริงแล้ว ผู้ที่มีบุคลิกภาพแบบฮิสทีเรียนั้น มีความเป็นเด็กสูง ชอบเรียกร้องความสนใจ จึงมีการแสดงออกที่มากมายเพื่อให้คนมาสนใจ  ผู้ป่วยมักจะรู้สึกขาดความมั่นใจและไม่สบายใจหากไม่ได้เป็นศูนย์รวมความสนใจ และบางครั้งก็อาจใช้วิธีข่มขู่เพื่อเรียกร้องความสนใจ

โดยสาเหตุที่ทำให้คนมีบุคลิกภาพแบบ "ฮิสทีเรีย" มักมาจากการที่ขาดความรักในช่วงหนึ่งของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงที่ต้องการความรักมากที่สุด  จึงทำให้มีอาการโหยหาความรักอยู่ตลอดเวลา  และเมื่อมีความรักก็จะไม่รู้จักพอ  แต่ก็เป็นความต้องการในความรัก ไม่ใช่ด้านความใคร่อย่างที่เข้าใจกันตลอดมา ^ ^

             

  • ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ผู้ที่เป็น "ฮิสทีเรีย" นั้น ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับความต้องการทางเพศที่มากกว่าปกติเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขาก็คือความรัก ความเข้าใจ และความเอาใจใส่จากคนรอบข้างเพียงเท่านั้นเอง ^ ^

  •  

ขอบคุณข้อมูลจาก www.posttoday.com , mthai.com , thaigoodview , guru.sanook.com ภาพประกอบเพิ่มเติมโดย kapook.com : ทีมงาน ตาโต ดอทคอม เรียบเรียงนำเสนอ

 

 


Admin : Tartoh
view
:
8390

Post
:
2014-09-16 12:22:00


ร่วมแสดงความคิดเห็น