เปิดตัว Phone 6 และ iPhone 6 Plus
2014-09-10 12:10:00

 

 

เปิดตัว Phone 6 และ iPhone 6 Plus

 

 

 

         แอปเปิลจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ศูนย์จัดแสดงศิลปะ 'ฟลินต์' (สถานที่เปิดตัวคอมพิวเตอร์ MAC เป็นครั้งแรกเมื่อ 30 ปีก่อน) ในเมืองคูเปอร์ติโน รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเปิดตัว iPhone 2 ขนาด ตามความคาดหมาย โดยใช้ชื่อ 'iPhone 6' และ 'iPhone 6 Plus' นอกจากนี้ ยังเปิดตัวนาฬิกาอัจฉริยะ 'Apple Watch' ด้วย

iPhone 6 ใช้จอ Retina HD ขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334x750 326 ppi ส่วน iPhone 6 Plus ใช้จอ Retina HD เช่นกัน ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920X1080 401 ppi ด้านหน้าตัวเครื่องทำจากกระจกซึ่งครอบคลุมไปจนถึงด้านข้างตัวเครื่อง ส่วนด้านหลังทำจากอลูมิเนียมชุบผิว โลโก้แอปเปิลด้านหลังทำจาก สเตนเลสสตีล iPhone 6 มีความหนา 6.9 มม. ส่วน iPhone 6 Plus หนา 7.1 มม. บางกว่า iPhone 5S ที่หนา 7.6 มม.

เปรียบเทียบขนาดระหว่าง iPhone 5S, iPhone 6 และ iPhone 6 Plus

iPhone 6 Plus สามารถใช้งานในรูปแบบแนวนอนได้เหมือน ไอแพด แป้นคีย์บอร์ดเพิ่มปุ่มสำหรับตัด, คัดลอก และวางข้อความได้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ยังมีฟีเจอร์ใหม่คือ Reachability โดยหากผู้ใช้สัมผัสที่ปุ่ม TouchID 2 ครั้ง จะทำให้หน้าจอสไลด์ลงมา เพื่อให้หน้าจอกลับไปอยู่บนสุดได้

iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ iOS 8 ติดตั้งชิพประมวลผล 'A8' ชิพ 64 bit รุ่นที่ 2 ของแอปเปิล มี CPU เร็วขึ้น 25% และ GPU เร็วขึ้น 50% ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ได้มีประสิทธิภาพมากกว่าชิพ A7 50% ส่งผลให้เครื่องสามารถใช้งานได้นานขึ้น นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับชิพประมวลความเคลื่อนไหว 'M8' ซึ่งประกอบด้วยเซ็นเซอร์จับความเคลื่อนไหวอย่าง ไจโรสโคป, เครื่องวัดความเร่ง และมีเซ็นเซอร์ใหม่คือ บารอมิเตอร์ สำหรับวัดความดันอากาศ เพื่อบอกสภาพภูมิประเทศ โมเด็มตัวใหม่รองรับเครือข่าย LTE ได้ถึง 20 ย่านความถี่ LTE-A รวมถึงใช้งาน VoLTE ได้แล้ว

   

กล้องของ iPhone 6

ในส่วนของกล้อง มีความละเอียดอยู่ที่ 8 เมกะพิกเซล (พิกเซลขนาด 1.5 ไมครอน) รูรับแสงกว้างสุด f/2.2 สำหรับ iPhone 6 Plus จะมีระบบกันสั่น (OIS) แอปเปิลยังพัฒนาเซ็นเซอร์ iSight ใหม่ มีระบบ 'Focus Pixels' ซึ่งจะช่วยให้การโฟกัสภาพอัตโนมัติเร็วขึ้นเกือบ 2 เท่า และชิพ ISP ในชิพ A8 ช่วยในการถ่ายภาพในที่แสงน้อย และลดการสั่นดียิ่งขึ้น ส่วนวิดีโอ สามารถถ่ายภาพได้ความละเอียดระดับ 1080p ที่ความเร็ว 30 เฟรมต่อวินาที ขณะที่การถ่ายภาพสโลโมชั่น สามารถถ่ายได้สูงสุด 240 เฟรมต่อวินาทีแล้ว

iPhone 6 และ iPhone 6 Plus เปิดให้จองในวันที่ 12 ก.ย. และจะวางจำหน่ายใน 9 ประเทศ ในวันที่ 19 ก.ย. (iPhone 6) และจะจำหน่ายใน 115 ประเทศในช่วงปลายปีนี้ โดยผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดระบบปฏิบัติการ iOS 8 ได้ในวันที่ 17 ก.ย. ส่วนราคาเครื่องแบบติดสัญญา 2 ปี สำหรับ iPhone 6 เริ่มที่ $199 (16GB) $299 (32GB) และ $399 (64GB) ส่วน iPhone 6 Plus อยู่ที่ $299 (16GB), $399(64GB) และ $499 (128GB)

Apple Watch

แอปเปิลยังเปิดตัวนาฬิกาอัจฉริยะ 'Apple Watch' ตามคาด โดยการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ต้องใช้ร่วมกับ iPhone ตั้งแต่ iPhone 5 ขึ้นไป นาฬิกาอัจฉริยะเรือนนี้มีหน้าจอสัมผัส ผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ของเครื่องได้ตามต้องการ ด้านขวาของตัวเครื่องมีกลไกที่อยู่คู่นาฬิกามานานหลายทศวรรษอย่าง 'เม็ดมะยม' ซึ่งแอปเปิลเรียกมันว่า 'Digital Crown' และปุ่ม 'Digital Touch' โดย Apple Watch จะวางจำหน่ายในช่วงต้นปี 2015 ในราคา $349

Digital Crown ใช้สำหรับหมุนเลื่อนขึ้น-ลง หรือขยายเข้าออกเวลาใช้งานแอพพลิเคชั่นต่างๆ หรือสามารถใช้เป็นปุ่มโฮมได้ด้วยการกดลงไป ส่วน Digital Touch ใช้สำหรับเรียกรายชื่อผู้ติดต่อที่เราชื่นชอบมากที่สุดขึ้นมา เพื่อโทรหา, ส่งข้อความ หรือแม้แต่ส่งแท็ปให้พวกเขาได้

เม็ดมะยม 'Digital Crown'

Apple Watch มาพร้อมชิพประมวลผล 'S1' ซึ่งติดตั้งเซ็นเซอร์ ไจโรสโคป, เครื่องวัดความเร่ง สำหรับการออกกำลังกาย สามารถเชื่อมสัญญาณไวไฟและจีพีเอสจาก iPhone ของผู้ใช้ได้ ด้านหลังของเครื่องมี เลนส์ อินฟาเรดส์ LED 4 ตัว สำหรับวัดอัตราการเต้นของหัวใจ การชาร์จพลังงานใช้เครื่องชาร์จแบบแม่เหล็กติดเข้ากับด้านหลังของอุปกรณ์ แอปเปิลระบุด้วยว่า การเดินของนาฬิกาของ Apple Watch มีความเหลื่อมล้ำเพียง +-50 มิลลิวินาทีเท่านั้น

Apple Watch ยังมีระบบปล่อยขั้วไฟฟ้าขนาดเล็กบริเวณหน้าจอ เพื่อรับรู้ความแตกต่างระหว่างการกดและการแตะ ใช้งานควบคู่กับฟีเจอร์ Force Touch ซึ่งเมื่อผู้ใช้กดลงไปแรงๆ จะเป็นการเรียกคำสั่ง Contextual menu ขึ้นมา Apple Watch ยังมีระบบ Taptic Engine ระบบสั่นที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนมีคนเอานิ้วมาจิ้มจริงๆ โดยแอปเปิลสาธิตกับการใช้ระบบนำทางของแอพฯ แผนที่ ซึ่ง Taptic Engine จะสั่นเตือนผู้ใช้เมื่อต้องเลี้ยวในทิศทางที่ต้องเลี้ยวจริงๆ

Apple Watch

แอปเปิลออก Apple Watch มาให้เลือก 3 แบบ คือ แบบปกติ, Apple Watch Sport และ Apple Watch Edition โดย แบบปกติ มีหน้าจอทำจากกระจกแซฟไฟร์ ส่วนแบบ Sport จะทนทานกว่าแบบปกติ 60% และเบากว่า ขณะที่แบบ Edition จะทำจากทองคำ 18 กะรัต ที่มีความแข็งกว่าทองปกติ 2 เท่า (ตามการกล่าวอ้างของแอปเปิล)

ระบบ Apple Pay

นอกจากนี้ แอปเปิลยังเปิดตัวระบบจ่ายเงินใหม่คือ 'Apple Pay' ซึ่งคล้ายกับการจ่ายเงินใน iTune แต่ขยายมาใช้สำหรับจ่ายเงินกับร้านค้าหรืออื่นๆ ในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวก รวมถึงเพิ่มระบบความปลอดภัยร่วมกับเทคโนโลยี Touch ID และ NFC ใน iPhone 6, iPhone 6 Plus และ Apple Watch ผู้ใช้สามารถใช้แอพฯ 'Find My iPhone' ลบข้อมูลการใช้จ่ายทั้งหมดได้ในกรณีที่เครื่องหายหรือถูกขโมย และระบบนี้จะไม่มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวและบัตรเครดิตของผู้ใช้แก่ฝ่ายตรงข้ามหรือแอปเปิล เบื้องต้นระบบ Apple Pay จะเริ่มใช้งานในสหรัฐอเมริกาเพียงแห่งเดียวก่อนในเดือน ต.ค.

 

 

 

 

ขอขอบคุณที่มา :  ไทยรัฐออนไลน์


 

 

 

Admin : NuApple
view
:
2105

Post
:
2014-09-10 12:10:00


ร่วมแสดงความคิดเห็น