ชื่อและระบบแฟรนไชส์ "7-Eleven" นี้ เป็นลิขสิทธิ์ของ บริษัท เซาท์แลนด์ คอร์ปอเรชั่น สหรัฐอเมริกา โดยชื่อของ 7-11 สื่อถึงเวลาที่เปิด-ปิดในการให้บริการทุกวัน ตั้งแต่ช่วงเวลา 07:00 - 23:00 น.

เซเว่น อีเลฟเว่น ถือกำเนิดขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2470 โดย บริษัท เซาท์แลนด์ ไอซ์ จำกัด (เซาท์แลนด์ คอร์ปอเรชั่น) เริ่มต้นกิจการผลิต และจัดจำหน่ายน้ำแข็ง ที่เมืองดัลลัส รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกาในปีเดียวกัน ทางบริษัทฯ ได้นำสินค้าอุปโภคบริโภคต่างๆ มาจำหน่าย เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า จึงเปลี่ยนชื่อเป็น Tote'm Store ต่อมาในปี พ.ศ. 2489 ได้เปลี่ยนชื่ออีกครั้ง เป็น เซเว่น-อีเลฟเว่น (7-Eleven) เพื่อรองรับการขยายกิจการนี้ ซึ่งในระยะแรก เปิดให้บริการ ตั้งแต่เวลา 07.00-23.00 น. ของทุกวัน อันเป็นที่มาของชื่อ เซเว่น อีเลฟเว่น นั่นเอง

ในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1980 บริษัทเริ่มประสบปัญหาทางการเงิน และได้รับความช่วยเหลือจาก “อิโต-โยคะโด” ซึ่งเป็นผู้ซื้อแฟรนไชส์รายใหญ่ที่สุด ภายหลังบริษัทญี่ปุ่นได้มีอำนาจควบคุมบริษัทในปี พ.ศ. 2534 ในปี พ.ศ. 2548 “อิโต-โยคะโด” ได้ก่อตั้งบริษัท เซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ และเซเว่น อีเลฟเว่นก็กลายเป็นบริษัทลูกของ เซเว่น แอนด์ ไอ โฮลดิงส์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ตำนาน ตัว "N" , "n"

ตำนานอันหนึ่งกล่าวไว้ว่า ผู้เป็นเจ้าของ 7- ELEVEn มีความเชื่อในเรื่องฮวงจุ้ยจึงได้เลือกใช้อักษร n ตัวเล็กแทนที่จะเป็น N ตัวใหญ่ ทั้งนี้ก็เพราะ n เล็ก มีรูปร่างคล้ายกับแม่เหล็ก (ที่เป็นทรงเกือกม้า) จะได้ทำหน้าที่เป็นเหมือนกับตัวดูดเงินดูดทองเข้าร้าน และคอยนำมาซึ่งโชคลาภความเจริญรุ่งเรืองต่างๆ ให้แก่กิจการสืบไป นั่นเอง

ซึ่งจากการที่มีการพูดกันโดยทั่วไปว่ามีการเปลี่ยนตัวอักษร N ให้เป็น n เพื่อให้เป็นฮวงจุ้ยสิริมงคลในการดึงดูดลูกค้า และดูเหมือนผู้คนจะเชื่อกันอย่างนั้น ตามตำนานที่กล่าวมาในข้างต้นนั้น แต่ความจริงแล้วคือ เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่นักศึกษาชาวไต้หวันคนนึง ได้กุเรื่องหรือตั้งข้อสังเกตขึ้นมาแล้วส่งอีเมล์ต่อๆกันไปจนคนเชื่อกันแบบนั้นไปเยอะเลย

โดย โลโก้นี้เดิมทีเดียวก็เป็น N ใหญ่แบบปกติ แต่ในปี 1960 กว่าๆ นั้น นักออกแบบโลโก้ของทาง 7-11 (ซึ่งตอนนั้นยังเป็นบริษัทของคนอเมริกัน) ได้ทำการแนะนำว่า ถ้าเปลี่ยน N ที่ดูเหลี่ยมแข็งกระด้าง เป็น n จะทำให้ดูมีสเน่ห์และมีความอ่อนช้อยมากกว่า ก็เท่านั้นเอง .. ???

ซึ่งเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากคุณ "Margaret Chabris" ผู้ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการด้านการประชาสัมพันธ์ของ 7-11 สำนักงานใหญ่ ที่สหรัฐอเมริกา เป็นผู้ออกมายืนยันด้วยตนเอง โดยเธอเองก็ได้รับคำถามมาเยอะจนเธอต้องสอบถามข้อสงสัยดังกล่านี้ไปยัง หลานของผู้ก่อตั้ง 7-11 แล้วผลสรุปที่ได้รับมา ก็ทำให้เธอได้ให้ข่าวที่ถูกต้องนี้ออกมา สู่ผู้สงสัยทุกท่าน .. !!!