“โจ๊กหมู” 1 ใน อาหารมื้อเช้า ราคาไม่แพงและมีคุณประโยชน์สูง
2014-08-12 06:19:00

“โจ๊กหมู” 1 ใน อาหารมื้อเช้า ราคาไม่แพงและมีคุณประโยชน์สูง

“โจ๊ก” นั้นเป็นอาหารเช้าของคนไทยเรามาช้านานแล้ว เพราะไว้ใจได้ในเรื่องของคุณค่าอาหารว่ามีไม่แพ้ของแพงๆกันเลยทีเดียว ส่วนประโยชน์นั้นจะมีอะไรบ้าง เรามาดูกันครับ >>>

  

“โจ๊กหมู” นั้นจะมีปลายข้าว และรำข้าว ซึ่งถ้าเยอะไปก็ทำให้หิวเร็วได้เช่นกัน เพราะมันคือ แป้งที่ทำให้เราหิวเร็วได้ ส่วนสิ่งที่ควรจะทานคู่กับ “โจ๊กหมู” ก็คือ

ขิง -เพราะขิงจะช่วยขับลม ช่วยระบบเผาผลาญในร่างกาย และช่วยย่อย

ต้นหอม -ช่วยในเรื่องลดไขมันและควบคุมน้ำตาล

ไข่ -มีคุณค่าอาหารครบถ้วน ย่อยง่ายแต่หนักท้อง ทำให้อิ่มทน  มีโปรตีน

หมูสับ -ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ยิ่งถ้าเนื้อหมูคลุกกระเทียมสับ ก็จะช่วยต้านสารก่อมะเร็งได้อีกอย่างหนึ่ง

ข้าวสาลี -ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดี ทำให้ร่างกายเย็น เหมาะกับคนที่เป็นไข้

และยิ่งถ้าเป็น โจ๊ก ที่ทำจากข้าวกล้องจะมีกากใยสูง เหมาะสำหรับคนท้องผูก และมีวิตามินเอ บี ธาตุเหล็ก แคลเซียม ป้องกันมะเร็ง บำรุงสมอง และถ้ายิ่งได้โจ๊กที่ทำจากข้าวกล้องงอกจะดีมาก เพราะมันจะมี กาบา (Gaba) ที่ทำให้สมองร่าเริง หรือหากเราเลือกโจ๊กที่ทำจากปลายข้าวแท้ๆ แล้วผสมจมูกข้าวลงไปด้วย มันก็จะทำให้เราได้วิตามินอี (Vitamin E) และ แกมมา ออริซานอล (Gamma-Orizanal) ซึ่งเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่มีในข้าว หรือรำข้าว ดังนั้นถ้าเลือกได้ก็ควรเลือกซื้อโจ๊กที่ใช้ข้าวที่มีประโยชน์เหล่านี้ แต่ถ้าหาซื้อลำบาก หาได้เป็นโจ๊กข้าวขาวธรรมดา ก็ไม่ต้องซีเรียส ลองพยายามลดความเสี่ยงจากการได้แป้ง กับน้ำตาลเยอะ โดยเน้นทานผักเยอะๆ และไม่ต้องปรุงรสให้หวานขึ้น หรือเค็มขึ้น ก็ได้เช่นกัน

โดยข้อควรระวังของการกิน “โจ๊ก” ก็คือ อย่ากินโจ๊ก คู่กับปาท่องโก๋ เพราะนั่นคือการนำแป้งมาจิ้มแป้ง และหากโจ๊กนั้นใส่หมูสับแล้ว ก็ไม่ต้องใส่เครื่องในหมูเข้าไปอีก เพราะเครื่องในเป็นแหล่งของ”กรดยูริค” ที่ทำให้เกิด “เก๊าท์” และในตัวโจ๊กก็ทำจากน้ำต้มกระดูก ซึ่งมี กรดยูริค มากอยู่แล้ว หากเราใส่เครื่องในเข้าไปอีกเราก็จะได้ กรดยูริค มากจนเกินไป แถมยังได้คอเลสเตอรอล (Cholesterol) มากเกินไปด้วย เพราะหมูสับก็มีคอเลสเตอรอลอยู่แล้ว หากใส่เครื่องในอีกก็อาจจะทำให้เราได้รับคอเลสเตอรอลในมื้อนั้นมากจนเกินไป

........................................................................................................................................................

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช  , www.manager.co.th , www.thaieditorial.comภาพประกอบจาก แฟนเพจ คุนกิน (kungin) , tartoh.com เรียบเรียงเพิ่มเติม


Admin : Tartoh
view
:
5375

Post
:
2014-08-12 06:19:00


ร่วมแสดงความคิดเห็น