ลุยส์ เดอ รูจมองต์ "สุดยอดจอมโกหกของโลก"
2014-08-11 02:38:00

แม้เรื่องราวที่เขาเล่าจะเหลือเชื่อเพียงใด !!!  แต่ผู้คนจำนวนมากก็ยังยินดีที่จะรับฟังอย่างสนิทใจ

เขาผู้นั้นรู้จักกันทั่วไปในนาม "ลุยส์ เดอ รูจมองต์" สุดยอดจอมโกหกของโลก

ชาวอะบอริจิน

ลุยส์ เดอ รูจมองต์

ลุยส์เปิดฉากเรื่องราวของเขาในหน้าวารสารโลกกว้าง (Wide World Magazine) ในเดือนสิงหาคม 1898 เล่าถึงตัวเขาซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสศิวิไลซ์ แต่ไปประสพกับพายุทะเลจนเรือแตกนอกฝั่งทวีปออสเตรเลีย แล้วกลายไปเป็นหัวหน้าเผ่ามนุษย์กินคน (cannibal chief) อยู่นานถึง 30 ปี

ลุยส์ เดอ รูจมองต์

ฟังแล้วก็น่าเป็นเรื่องเหลวไหล ทว่าในสมัยครั้งกระโน้น ยังไม่มีการเดินทางบุกเบิกไปในโลกกว้างห่างไกลเท่าใดนัก ไม่มีทั้งวิทยุและโทรทัศน์ อีกทั้งนักผจญภัยที่ไปตะลุยท่องเที่ยวต่างแดนและกลับมาเล่าถึงความน่าตื่นเต้นที่ได้ประสพมา ก็มักจะเป็นเรื่องจริงเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้น บรรดานักอ่านทั้งหลาย จึงพากันเชื่อเรื่องพิสดารของลุยส์

ตอนต้นเรื่อง ลุยส์บรรยายว่า หลังเรือแตกและเขาเกาะเศษไม้ลอยคออยู่ สุนัขของกัปตันก็ได้ลากเขาเข้าหาฝั่งบนเกาะเล็กๆแห่งหนึ่ง เขาใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวอยู่นานสองปี จากนั้นก็ได้พบกับครอบครัวหนึ่งของชนพื้นเมืองหรืออะบอริจิน (aborigine) พวกนั้นได้ช่วยสร้างเรือแล้วนำเขามาส่งยังแผ่นดินใหญ่ เขาได้พบปะผู้คนท้องถิ่นมากมาย และได้แต่งงานกับสาวพื้นเมืองนามว่า ยัมบา (Yamba) เป็นการตั้งต้นชีวิตใหม่

ลุยส์ เดอ รูจมองต์ โชว์การขี่เต่า

การอยู่ร่วมกับชนอะบอริจินนั้นเป็นชีวิตที่แปลกแยกแบบที่ทั่นผู้อ่านคาดไม่ถึง ลุยส์ได้เล่าถึงรายละเอียดต่างๆอย่างน่าทึ่ง เช่นว่า แม้ไม่มีเกมส์กีฬาสากลให้เล่น แต่เขาก็หาความสนุกสนานได้จากการขี่หลังเต่ายักษ์ท่องไปในท้องทะเล

“ผมใช้วิธีการควบคุมให้มันว่ายไปตามทิศทางที่ต้องการได้ง่ายๆ โดยถ้าจะใช้มันเลี้ยวซ้าย ผมก็ใช้เท้าทิ่มไปที่ตาขวาของมัน จะเลี้ยวขวาก็ใช้แบบเดียวกัน ถ้าหากสองเท้าของผมอยู่บนตาทั้งสองของมันพร้อมๆกัน มันก็จะหยุดฉับพลัน จนบางครั้งผมแทบหัวทิ่มหล่นจากหลังมัน”

บ้านของลุยส์สร้างขึ้นจากเปลือกหอยทะเล

ชนพื้นเมืองสื่อสารถึงกันโดยใช้ฝูงนกกระสาบินนำสาส์นซึ่งมีใช้กันถึงหกภาษา

ตอนที่ลุยส์ป่วย เขารักษาอาการด้วยการเข้าไปนอนในซากศพของควาย

ลุยส์ ในมาดของหัวหน้าเผ่า

อาหารการกินก็อุดมสมบูรณ์มาก ยัมบาเอารากบัวมาปรุงเป็นอาหารสำหรับเขา ส่วนมื้อเย็นแต่ละวันนั้น คนในเผ่าจะล้อมวงกันกินมื้อใหญ่ที่ประกอบด้วย จิงโจ้ นกอีมู งู หนู ปลา ฯลฯ แต่อาหารที่ชนพื้นเมืองโปรดปรานมากที่สุดได้แก่ “ตัวหนอน” ซึ่งได้มาจากต้นไม้

“พวกเขาเอาหนอนเหล่านี้มาย่างบนก้อนหินร้อนๆในเตาไฟ กินกันทีนึงเป็นฝูงๆ” ลุยส์เล่าถึงความหลัง

ลุยส์ นำคนในเผ่าออกรบ

หลังจากลงตีพิมพ์ติดต่อกันได้ไม่นาน ผู้อ่านก็เริ่มกระหายที่จะได้รู้จักตัวจริงของ ผู้เขียน มีความพยายามที่จะจัดการพบปะ หากทว่าลุยส์นั้นอ้างว่ากำลังยุ่งอยู่กับการเรียนรู้เพื่อปรับตัวให้เข้ากับสังคมปัจจุบัน รวมทั้งญาติพี่น้องที่เหินห่างกันไปนานถึง 30 ปี ก็นับว่าเป็นข้ออ้างที่ฟังได้ แม้แต่บรรณาธิการของวารสารโลกกว้างก็ยังเชื่อในเรื่องของลุยส์อย่างปราศจากความสงสัยใดๆ แม้จะถึงขนาดว่าเป็นเรื่องน่าสยองที่ลุยส์เล่าถึงการต่อสู้กับจระเข้ยักษ์โดยใช้ขวานเพียงเล่มเดียว หรือในการที่เขาได้รับการยกย่องจากคนในเผ่าให้เป็นเทพเจ้า

แต่พอถึงเรื่องล่าสุดที่ลุยส์เอ่ยถึงฝูงวอมแบต (wombat-สัตว์คล้ายหมีที่มีเฉพาะในออสเตรเลีย) จำนวนนับพันบินว่อนอยู่บนท้องฟ้าในยามพระอาทิตย์ตกดินของทุกวัน ผู้อ่านก็ชักเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล เพราะถึงจะเป็นยุค

สมัยวิกตอเรียนก็เถอะ ผู้คนก็พอจะรู้ว่าเจ้าหมีน้อยวอมแบตนั้นมันไร้ปีกที่จะบิน กระทั่งสุดท้ายลุยส์ก็เปิด เผยว่า อันที่จริงเผ่าที่เขาอยู่อาศัยด้วยนั้นเป็น...มนุษย์กินคน

วอมแบต

ท่านผู้อ่านในยุค วิกตอเรียนจินตนาการแล้วก็ตะลึงงันกับการบอกเล่าถึงความเอร็ดอร่อยกับการบริโภคเนื้อมนุษย์ด้วยกัน ลุยส์บรรยายโดยละเอียดถึงวิธีการเอาอวัยวะต่างๆของมนุษย์มาปรุง จนผู้อ่านแทบจะทำกินเองได้

ถึงตอนนี้ผู้อ่านก็ทนไม่ไหว อยากจะเห็นหน้าเทพของเผ่ามนุษย์กินคน จดหมายเริ่มไหลหลั่งมาถึงสำนักพิมพ์ ท้าทายให้ผู้เขียนออกมาเผชิญหน้าเพื่อแก้ข้อสงสัยต่างๆ หรือนำหลักฐานมายืนยันในข้อเท็จจริงเหล่านี้

ซึ่งในที่สุด แม้ลุยส์จะตลบตะแลงแค่ไหน แต่เขาไม่ใช่คนขลาด ผู้คนจึงได้เห็นการปรากฏตัวของเขา ในรูปแบบผู้สูงวัย เจรจาดี และตอบคำถามต่างๆอย่างเช่นผู้มีภูมิรู้ ทำให้ผู้ซักถามชักงงงัน และไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนโกหกจริงหรือ

อย่างไรก็ตาม เมื่อทบทวนถึงข้อเท็จจริงทั้งหลาย และหันกลับมาพิจารณาตนเองใหม่ ผู้อ่านก็พลันลงความเห็นว่าตนถูกหลอก และแล้วก็ไม่มีใครเชื่อถือลุยส์อีกต่อไป แม้ว่าเขาจะโชว์การขี่เต่าให้ดูอย่างคล่องแคล่วประกอบการพิสูจน์ก็ตาม

ต่อมา นสพ.เดลีย์ โครนิเคิล ก็ได้ลงเรื่องเปิดโปงฉากหลังของลุยส์จากการสืบค้นพบว่า แท้ที่จริงลุยส์นั้นมิได้เป็นผู้ดีฝรั่งเศสหรือนักผจญภัยแต่อย่างใด ชื่อเดิมของเขาก็คืออองรี ลุยส์ แกรง (Henri Lovis Grin) เป็นชาวสวิส เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 1847 เริ่มทำงานโดยเป็นคนรับใช้ในเครื่องแบบให้แก่นักแสดงสตรีนามแฟนนี เคมเบิล แล้วก็มารับใช้ในบ้านของนายธนาคารชื่อ เดอ มีวิลล์ จากนั้นก็ได้มาเป็นหัวหน้าคนรับใช้ให้กับท่านข้าหลวงประจำออสเตรเลียตะวันตก เซอร์วิลเลียม โรเบิร์ตสัน แต่อยู่ได้ไม่ถึงปีก็ลาออก

ลุยส์พยายามทำอาชีพหลากหลาย ทั้งเป็นช่างถ่ายรูป เป็นหมอรักษาไข้ ตลอดจนประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ แต่ไม่สำเร็จ เขาได้แต่งงานกับหญิงออสเตรเลีย แต่ก็ทอดทิ้งเธอไปโดยกลับมาลอนดอน

ด้วยความโดดเดี่ยวไร้เพื่อนพ้อง ทำให้ลุยส์เกิดจินตนาการต่างๆและสร้างเรื่องราววิจิตรพิสดารขึ้น เขาได้รับเงินจากค่าเขียนพอควร และสิ่งที่เขาเขียนนั้นก็มิได้เกิดอันตรายให้แก่ผู้ใด ก่อความสนุกสนานบันเทิงให้แก่ผู้อ่านด้วยซ้ำไป อย่างไรก็ดีข้อเขียนหนึ่งของลุยส์ใช้ชื่อว่า “สุดยอดจอมโกหกของโลก (The Greatest Liar on Earth)”

เรื่องราวของลุยส์ถูกนำไปแสดงเป็นละครเวที

หลังจากไม่มีใครเชื่่อถือแล้ว งานของลุยส์ก็ถูกปฏิเสธจากสำนักพิมพ์ เขาต้องยึดอาชีพเร่ขายไม้ขีดไฟ และเสียชีวิตในวันที่ 9 มิถุนายน 1921 ในวัย 73 ปี

เรื่องราวชีวิตของลุยส์ถูกนำไปแสดงเป็นละครเวทีในชื่อเรื่อง “เรือแตก! การผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของลุยส์ เดอ รูจมองต์” (Shipwrecked! The Amazing Adventures of Louis de Rougemont (as told by himself)) เปิดแสดงในช่วง 20-30 กรกฎาคม 2011 ที่ประเทศอังกฤษ.

........................................................................................................................................................

ขอขอบคุณข้อมูลโดย : คุณอุดร จารุรัตน์ ทีมงานนิตยสารต่วย'ตูน และไทยรัฐออนไลน์

 


Admin : Tartoh
view
:
3119

Post
:
2014-08-11 02:38:00


ร่วมแสดงความคิดเห็น