ย้อนรอยระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา 6 สิงหาคม 2488
2014-08-06 12:21:09

     กว่า 69 ปีมาแล้ว ที่เหตุการณ์ระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่2 ได้เกิดขึ้นบาดแผลทางร่างกายและจิตใจของผู้คนที่เกิดทันเหตุการณ์ในครั้งนั้นคงจางหายไปตามกาลเวลา 

 

การคัดเลือกเมืองของอเมริกา
     จากจุดเริ่มต้นดังกล่าว รศ.ฉลองจึงเริ่มทำการค้นคว้าประกอบการทำงานวิจัยถึงเรื่องการระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา รศ.ฉลองกล่าวว่า เมืองที่อเมริกาคัดเลือกที่จะใช้ระเบิดปรมาณูในตอนแรกมีทั้งหมด 5 เมือง คือ เกียวโต ฮิโรชิมา นางาซากิ นิคาตะ และโคคุระ แต่เป้าหมายของการทิ้งระเบิดของอเมริกาคือต้องเป็นเมืองที่ยังไม่ถูกทำลาย มีประชากรหนาแน่น เพื่อการประเมินผลระเบิดปรมาณูและความเป็นระบบทางการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ในขั้นแรกอเมริกาตัดเมืองเกียวโตออกเพราะเป็นศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นเพราะหากทิ้งระเบิดไปอาจสร้างความแค้นใจให้กับชาวญี่ปุ่นมาก ต่อมาจึงตัดเมืองนิคาตะออกอีกหนึ่งเมืองเนื่องจากเป็นเมืองชนบทและเป็นเมืองทำนาผลิตข้าวประชากรไม่หนาแน่น จึงเหลือเพียงสามเมืองเท่านั้น ที่จะทิ้งระเบิดคือ ฮิโรชิมา นางาซากิ และโคคุระ

ระเบิดลูกแรกที่ฮิโรชิมา
     ก่อนที่จะมีการทิ้งระเบิด จะมีการบินตรวจสภาพท้องฟ้าว่าเปิด เห็นเป้าหมายในการทิ้งระเบิดเพียงใด เช้าวันที่6 สิงหาคม 2488 เครื่องบินของกองทัพอเมริกันบินตรวจสภาพฟ้าของเมืองฮิโรชิมา ปรากฎว่าเมืองฮิโรชิมาปลอดโปร่งฟ้าใส ดังนั้นเครื่องบินของกองทัพอเมริกันชื่อ “อีนอลา เกย์” (Enola gay) ได้บรรทุกระเบิดปรมาณูที่ชื่อ“ลิตเติ้ล บอย” (Little boy) มาทิ้งที่ฮิโรชิมา ณ เวลา 8.15 น. วิธีปลดระเบิดคือการตั้งเวลาให้ระเบิดกลางอากาศเพื่อให้รัศมีการทำลายแผ่วงกว้างให้มากที่สุด โดยระเบิดจะจุดระเบิดเมื่อทิ้งไปแล้ว 43 วินาที เทียบได้กับว่าระเบิดเหนือพื้นดิน 680เมตร เป้าหมายที่ทิ้งก็คือเหนือโรงพยาบาลชิมะกลางกรุงฮิโรชิมา แรงระเบิดทำลาย ในเขตพื้นที่เป็นรัศมี 10 กิโลเมตร ประชากรกว่า 66,000 คนเสียชีวิตทันที อีกประมาณ 70,000 คน บาดเจ็บจากรังสีความร้อนและในปลายปีเดียวกันมีการประมาณผู้เสียชีวิตประมาณ 140,000 คน

ระเบิดปรมาณู “ลิตเติ้ล บอย” หนัก 4 ตัน สูง 3.2 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.71 เมตร ใช้ ยูเรเนียม 235 หนักไม่ถึง 60กิโลกรัม เป็นระเบิดปรมารณูในระบบฟิชชั่น (Fission) (การแตกตัว) มีพลังระเบิดเทียบเท่าระเบิด TNT หนัก 15,000 ตัน

ลูกที่สองตามมาที่นางาซากิ
     หลังจากที่ระเบิดลงที่ฮิโรชิมาแล้ว อีกสามวันต่อมา คือในวันที่ 9 สิงหาคม 2488 เวลา11.02 น. ระเบิดปรมาณูชื่อ“แฟทแมน” (Fat man) ได้ถูกบรรทุกโดยหน่วยบินกองทัพอเมริกาและถูกทิ้งลง ณ เมือง นางาซากิ โดยการตั้งชนวนระเบิดให้ทำงาน ณ 600 เมตร เหนือพื้นดินเช่นเคย เมืองนางาซากิเป็นเมืองที่มีขนาดเล็กกว่าเมือง เป้าหมายรองคือ เมือง โคคุระ (ความจริงเมืองที่จะต้องโดนระเบิดปรมาณูลูกที่สองคือเมืองโคคุระ แต่เนื่องจากเครื่องบินลาดตระเวณพบว่าน่านฟ้าเมืองโคคุระปิด มองไม่เห็นเป้าหมายชัดเจน จึงมีการเปลี่ยนเป้าหมายระเบิดไปที่เมืองนางาซากิ)ระเบิดปรมาณูที่เมืองนางาซากิทำให้มีผู้เสียชีวิตในทันทีประมาณ 39,000 คน บาดเจ็บกว่า 25,000 คน แต่เมื่อถึงสิ้นปีในปีนั้นมีการคาดการณ์ผู้เสียชีวิตถึง 70,000 คนซึ่งยังไม่รวมถึงคนอีกนับหมื่นที่ต้องทนทุกข์ทรมานและเสียชีวิตจากกัมมันตรังสีของระเบิดปรมาณูในเวลาต่อมาระเบิดปรมาณู “แฟทแมน” มีน้ำหนัก 4.5 ตัน สูง 3.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.52 เมตร และใช้สารเคมี พลูโตเนียม 239 ที่ให้พลังงานระเบิดเทียบเท่าระเบิด TNT หนัก 21,000 ตัน

 

สาเหตุที่อเมริกาทิ้งนิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่น
     ประธานาธิบดีทรูแมนกล่าวเสมอๆ ว่าการใช้ระเบิดนิวเคลียร์กับญี่ปุ่นนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพื่อให้ญี่ปุ่นยอมจำนนอย่างรวดเร็ว การใช้กองกำลังทหารสหรัฐเพื่อยึดครองญี่ปุ่นนั้นจะสูญเสียทหารอเมริกันหลายพันคน และว่า ถ้าได้โอกาสให้ตัดสินใจใหม่อีกครั้ง การตัดสินใจของเขาจะยังคงเดิม คือให้ถล่มญี่ปุ่นด้วยอาวุธนิวเคลียร์ซะ

 

 

ทางเลือกอื่น 1    
     ใช้ยุทธวิธีทางการทหาร ทิ้งระเบิดแบบปกติและปิดกั้น ทางลำเลียงทหารถ้าใช้วิธีนี้ก็ยังสามารถบีบให้ฝ่ายญี่ปุ่นยอมแพ้ได้ แต่ก็ยังเสี่ยงต่อชีวิตนักบิน, ทหารบก, และทหารเรือ และว่ากันว่าชาวญี่ปุ่นอาจจะตายมากกว่าใช้ระเบิดนิวเคลียร์ก็เป็นได้ เพราะห้าเดือนก่อนจะทิ้งระเบิด Little boy นั้น การใช้ระเบิดเพลิงที่โตเกียวก็ทำให้ชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตไปกว่าหนึ่งแสนคนแล้ว
 
ทางเลือกอื่น 2
     แสดงให้ฝ่ายญี่ปุ่นเห็นอานุภาพของอาวุธนิวเคลียร์ก่อน โดยทดสอบในที่ไม่มีคนอาศัย ถ้าจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต้ (Hirohito) ได้มีโอกาสทอดพระเนตรอานุภาพของอาวุธนิวเคลียร์เสียก่อนก็อาจจะทำให้ยอมแพ้ก็ได้ โดยที่ไม่ต้องเสียเลือดเนื้อ แต่ฝ่ายค้านก็ว่าตอนนั้นสหรัฐมีระเบิดที่ใช้งานได้อยู่เพียงสองลูกเท่านั้นคือ Little boy และ Fat man และยังมีที่กำลังพัฒนาขึ้นมาอยู่อีกสองลูก ตอนนั้นเทคโนโลยีนิวเคลียร์เป็นของใหม่ การจะลำเลียงระเบิดไปยังจุดหมายนั้นแสนยากเย็น ถ้าแสดงให้เห็นแล้วฝ่ายญี่ปุ่นไม่ยอมแพ้ อาจจะเปิดโอกาสให้หาช่องทางต่อต้านได้
 
 
ทางเลือกอื่น 3
     รอให้รัสเซียประกาศสงครามกับญี่ปุ่น ว่ากันว่าตอนนั้นรัสเซียพร้อมจะประกาศสงครามกับญี่ปุ่นอยู่แล้ว ในอีกสองสามอาทิตย์ ซึ่งถ้าเป็นดังนั้นญี่ปุ่นอาจยอมจำนนก็ได้ ฝ่ายคัดค้านบอกว่า แต่ก็ไม่แน่ว่าการตอบสนองจากญี่ปุ่นจะเป็นอย่างไร และกว่ากองทัพรัสเซียจะพร้อมต่อการบุกเข้ายึดญี่ปุ่นก็คงกินเวลานาน และที่สำคัญรัสเซียอาจถือเป็นโอกาสเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์เข้าไปในเอเซียมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ได้
 
ทางเลือกอื่น 4
     เจรจาสันติภาพกับญี่ปุ่น ก่อนจะทิ้งระเบิดนั้น นายกฯซูซูกิ และจักรพรรดิฮิโรฮิโต้ก็พร้อมจะยอมเจรจาสงบศึกอยู่แล้ว แต่เป็นการยอมแพ้แบบมีเงื่อนไข ซึ่งประธานาธิบดีทรูแมนไม่ยอมและว่าจะต้องยอมแพ้แบบศิโรราบเท่านั้น ในกรณีนั้นฝ่ายต่อต้านทางเลือกนี้ชี้แจงว่าจะเป็นการใจดีต่อรัฐบาลญี่ปุ่นเกินไปและแสดงความอ่อนแอของฝ่ายสัมพันธมิตร ฝ่ายญี่ปุ่นอาจขอเจรจาให้คงรักษากองทัพไว้ก็ได้ (สำหรับท่านที่ไม่ทราบ ตอนนี้ญี่ปุ่นไม่มีกองทัพนะครับ สืบเนื่องจากที่ยอมแพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง ฝ่ายสัมพันธมิตรห้ามญี่ปุ่นมีกองทัพทหารเพราะชาตินิยมจัดมาก)หรือฝ่ายญี่ปุ่น อาจมีโอกาสเตรียมพร้อมกำลังทหารต่อต้านการบุกยึดครองโดยฝ่ายสัมพันธมิตร
 
ทางเลือกอื่น 5
     ยอมคงสภาวะของสมเด็จพระจักรพรรดิ์ ถ้าฝ่าย สัมพันธมิตรระบุอย่างชัดเจนว่า จะคงสถานะของสมเด็จพระจักรพรรดิ์ไว้ และไม่ลงโทษพระองค์ในฐานะอาชญากรสงคราม อาจจะทำให้ญี่ปุ่นยอมแพ้ก็ได้ แต่ก็ว่ากันว่าถึงจะระบุไปฝ่ายญี่ปุ่นก็คงไม่ยอมแพ้อยู่ดีท้ายที่สุดประธานาธิบดีทรูแมนสรุปว่า ทางเลือกทั้ง 5 นี้ไม่มีทางจะทำให้สงครามยุติได้อย่างรวดเร็วเท่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ในช่วงเวลานั้นประธานาธิบดีเองก็กำลังถูกเพ่งเล็งจากประชาชนซึ่งอยากให้สงครามจบเร็วๆ และส่วนใหญ่เกลียดคนญี่ปุ่นกันมากๆ อยู่แล้วนอกจากนี้ยังช่วยรักษาชีวิตของทหารอเมริกันในยุโรปซึ่งกำลังรับคำสั่งให้เตรียมพร้อมบุกเข้ายึดญี่ปุ่นด้วย คนอเมริกันตอนนั้นเลยไม่ค่อยโจมตีเขามากนัก
 
 
สถานการณ์ทางฝ่ายญี่ปุ่น ช่วงใกล้สงครามยุติ
     ผู้นำทางทหารของญี่ปุ่นในช่วงนั้นไม่มีใครรู้อิโหน่อิเหน่เกี่ยวกับระเบิดปรมาณูเลย และไม่ทราบด้วยว่าสหรัฐกำลังจะเอาระเบิดนิวเคลียร์มาทิ้ง ในขณะที่ฝ่ายอเมริกันทราบความเคลื่อนไหวของฝ่ายญี่ปุ่นตลอดไม่มากก็น้อย เพราะหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐแกะรหัสลับของฝ่ายญี่ปุ่นออกแล้ว
 
     ช่วงหน้าร้อนของปีค.ศ. 1945 นั้น ญี่ปุ่นจะแพ้อยู่แล้วฝ่ายนาวิกโยธินก็แทบจะไม่มีเหลือทหารอากาศที่ดีที่สุดก็ตายไปหมดแล้ว ติดต่อกองทัพที่กระจายอยู่ทั่วเอเซียก็ไม่ได้ แถมฝ่ายทหารเรือของอเมริกันยังใช้ยุทธวิธีตัดกำลังเสบียงทำให้ขาดทั้งอาหารและน้ำมัน การโจมตีทางอากาศจากฝ่ายอเมริกันถล่มเมืองใหญ่ๆ ของญี่ปุ่นทำให้มีคนตายไปกว่า 200,000 คนแล้ว
 
     แต่ฝ่ายญี่ปุ่นก็ยังไม่ยอมแพ้ ระหว่างเดือนเมษายนถึงมิถุนายน ค.ศ. 1944 นั้น สหรัฐก็ได้บุกยึดเกาะโอกินา ว่า (Okinawa) ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ห่างจากเมืองหลวงไป 400 ไมล์ แต่กระนั้นฝ่ายญี่ปุ่นก็สู้อย่างไม่กลัวตาย ใช้เทคนิคกามิกาเซ่ด้วยวิญญาณชายชาติซามูไร ใช้เครื่องบินพุ่งเข้าใส่เรือของสหรัฐที่ทำหน้าที่ ลำเลียงเสบียงต่างๆ ชาวเกาะโอกินาว่าเอง ก็ฆ่าตัวตายเพียงเพื่อไม่ให้ทหารอเมริกันจับได้ แม้จะยึดเกาะได้ฝ่ายอเมริกันก็ยังต้องสูญเสียกองพลไปกว่า 48,000 คน
 
     ทั้งๆที่เสียเกาะโอกินาว่าไปแล้ว และเห็นแสนยานุภาพของกองทัพสหรัฐ รัฐบาลญี่ปุ่นก็ยังไม่ยอมแพ้ ตอนนั้นนายกฯ คันทาโร่ ซูซูกิ (Kantaro Suzuki) ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ในช่วงเมษายน ค.ศ. 1945 หวังจะขอให้รัสเซียเป็นตัวกลางช่วยญี่ปุ่นให้เจรจากับสหรัฐ, อังกฤษและ จีน แต่เขาหารู้ไม่ว่าตอนนั้นสตาลินผู้นำรัสเซียได้ให้คำมั่นต่อฝ่ายสัมพันธมิตรแล้วว่าจะประกาศสงครามกับญี่ปุ่นในอีก 2-3 เดือนถัดไป
 
 
     ส่วน ส.ส. และนายทหารของญี่ปุ่นนั้นก็ไม่ยินยอมให้ยอมแพ้ และว่าให้ประชาชนตาย 100 ล้านคนอย่างมีเกียรติยังดีกว่ายอมพ่ายแพ้อย่างไร้ศักดิ์ศรี มีการวางแผนจะเตรียมกองทหารอีก 350,000 นาย เพื่อป้องกันการเข้ายึดจากสหรัฐอเมริกา เตรียมนักบินเครื่องบิน สำหรับการโจมตีแบบกามิกาเซ่อีกหลายพันลำ รวมทั้งจะให้ผู้หญิงมาร่วมรบด้วย และหวังกันว่าจะทำให้อเมริกายอมเซ็นสัญญาสงบศึกโดยเหลือผลประโยชน์ให้ฝ่ายญี่ปุ่นบ้าง
 
     ฝ่ายอเมริกันมักจะกล่าวหาจักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต้ว่าไม่ยอมยุติสงคราม เพราะชาวญี่ปุ่นทุกคนต่างเชื่อฟังพระองค์ ตอนที่นายทหารญี่ปุ่นวางแผนโจมตีอ่าว Pearl Harbour พระองค์ก็ไม่ทรงมีรับสั่งใดๆ แต่เมื่อเกาะโอกินาว่าถูกยึดได้ จึงทรงเร่งรัดให้นายทหารญี่ปุ่นยุติสงครามโดยไว และได้ส่งตัวแทนพระองค์ไปยังมอสโคว์ด้วย เพื่อเจรจากับฝ่ายสัมพันธมิตร
 
     ฝ่ายอเมริกันรอการตัดสินใจจากรัฐบาลญี่ปุ่นไม่ไหวแล้ว จึงเอาระเบิด Little Boy ไปถล่มเมืองฮิโรชิม่าในวันที่ 6 สิงหาคม พวกนายทหารก็ยังงงๆ กันอยู่ไม่ยอมแพ้เสียทีตอนนี้สมเด็จพระจักรพรรดิ์ทรงรับสั่งว่า “ต้องยอมเขาแล้ว !” (We must bow to the inevitable)
 
     วันที่ 9 สิงหาคม รัสเซียประกาศสงครามกับญี่ปุ่น และสหรัฐทิ้งระเบิด Fat Man ถล่มนางาซากิอีก ท้ายที่สุดนายกฯ จึงกราบบังคมทูลเชิญให้สมเด็จพระจักรพรรดิ์ให้มีพระบรมราชโองการ ซึ่งพระองค์ตรัสว่า “หากสงครามยืดเยื้อต่อไป เราก็คงสิ้นชาติ”
 
     วันที่ 10 สิงหาคม ญี่ปุ่นประกาศแพ้สงครามและยื่นเงื่อนไขต่อฝ่ายสัมพันธมิตรว่าต้องให้สมเด็จพระจักรพรรดิ์เป็นผู้ปกครองญี่ปุ่นต่อไป ซึ่งฝ่ายสัมพันธมิตรก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด หากแต่ว่าในช่วงแรกสมเด็จพระจักรพรรดิ์ต้องอยู่ใต้การบัญชาการของนายพลแมคอาเธอร์ ซึ่งพอได้รับคำตอบนายทหารหลายคนของญี่ปุ่นก็โกรธ ถือว่าเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะไม่ยอมแพ้ขึ้นมาอีก แต่สมเด็จพระจักรพรรดิ์ทรงยินยอมต่อข้อตกลงนี้ สงครามจึงสิ้นสุด
 
 
     นอกจากนี้คณะกรรมการยังไม่สนับสนุนให้เตือนญี่ปุ่นถึงอานุภาพของระเบิดนิวเคลียร์ด้วย สิ่งที่คณะกรรมการคือต้องการให้รัฐบาลและประชาชนชาวญี่ปุ่นคาดไม่ถึง เพื่อยอมแพ้อย่างรวดเร็ว โดยเป้าหมายที่ควรจะนำระเบิดไปหย่อนคือ บริเวณที่เป็นโรงงานผลิตอาวุธสงครามที่มีคนงานจำนวนมากตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียง และคาดว่าผลการใช้ระเบิดนิวเคลียร์จะทำให้ควบคุมสหภาพโซเวียตได้ด้วย
 
     เนื่องจากช่วงนั้นระเบิดยังไม่พร้อม กลุ่มนายทหาร ระดับสูงได้ให้คำแนะนำประธานาธิบดีทรูแมนในวันที่ 11 มิถุนายน ค.ศ. 1945 ว่าคงต้องบุกเข้ายึดเกาะญี่ปุ่นแทน และประมาณการความสูญเสียทหารของฝ่ายอเมริกันไว้ที่ 200,000 คน โดยจะมีทหารเสียชีวิตประมาณ 50,000 คน ตัวเลขนี้ไม่ประทับใจประธานาธิบดีทรูแมนเท่าใดนัก แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสินใจใดๆ อีกหนึ่งเดือนต่อมาประธานาธิบดีก็ไปร่วมประชุมกับผู้นำของฝ่ายสัมพันธมิตรที่เมือง Potsdam เยอรมัน และเร่งให้โจเซฟ สตาลินประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เพราะได้สัญญากันไว้แล้วว่าถ้าเยอรมันแพ้สหภาพโซเวียตจะประกาศสงครามกับญี่ปุ่น เพราะตอนเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 ใหม่ๆ นั้น รัสเซียได้เซ็นสนธิสัญญาไม่รุกรานประเทศญี่ปุ่น (non-aggression treaty) ระหว่างการประชุมนั้นประธานาธิบดีทรูแมนก็ได้รับข้อความยืนยันว่าระเบิดนิวเคลียร์ผ่านกาทดสอบที่นิวเม็กซิโกแล้ว ซึ่งเขาก็ได้สั่งการให้ทหารใช้ระเบิดนิวเคลียร์ทันทีเมื่อพร้อม แต่อย่าทิ้งระเบิดก่อนวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1945

 

 

การรับรู้และปฏิกริยาต่อระเบิดปรมาณูในสังคมไทยปี 2488-2489
     วันที่ 6 สิงหาคม 2488 เป็นวันที่ระเบิดปรมาณูทำลายเมืองฮิโรชิมา แต่สำหรับคนไทยกลับมีโอกาสรับรู้เรื่องระเบิดจนกระทั่งอีกสามวันต่อมา นั่นคือวันที่ 9 สิงหาคม 2488 โดยหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ ที่อ้างอิงจากแหล่งข่าวญี่ปุ่นโดยจากการตีพิมพ์ข่าวในวันที่ 9 สิงหาคม 2488 ซึ่งมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพอดี จึงทำให้เกิดกระทู้สดถามนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น (นายควง อภัยวงศ์) โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ไดถ้ ามนายกรัฐมนตรีก็คือ ร้อยโท ประจวบ มหาขันธ์ (สส.อุดรธานี) เรื่องข่าวการระเบิดปรมาณู ซึ่ง นายควง ตอบว่ารัฐบาลทราบข่าวแต่ไม่มีข้อมูลและไม่สามารถชี้แจงได้ในขณะนั้น แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือ เมื่อร้อยโทประจวบ ถามต่อว่าจะสามารถให้คำตอบได้หรือไม่ นายควง ตอบว่า “เมื่อตูมเข้ามาก็แหลกละเอียดไปหมด จะรู้ได้อย่างไรว่าอะไรเป็นอะไร ถ้ามันมาอยู่เป็นก้อนก็รู้ แต่นี่มันตูมแล้วหาตัวไม่ได้” รศ.ฉลองให้ทัศนะว่าการตอบคำถามในแนวทางนี้คล้ายลักษณะการไม่สนใจต่อมนุษยชาติเท่าใดนัก


     ในวันที่ 9 และวันที่ 10 สิงหาคม 2488 ยังไม่มีปฏิกริยาของรัฐบาลไทยต่อข่าวระเบิดปรมาณู แต่ในวันที่ 11 สิงหาคม2488 มีรายงานข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ต่อท่าทีของรัฐบาลไทยต่อสถานการณ์ระเบิดปรมาณู เมื่อโซเวียตประกาศสงครามกับญี่ปุ่น ต่อมาในวันที่ 13 สิงหาคม 2488 ญี่ปุ่นตัดสินใจยอมสงบศึกเนื่องจากระเบิดปรมาณู ในขณะที่ประเทศไทยเพิ่งจะได้รับข่าวการการระเบิดที่เมืองนางาซากิ และในวันนี้ถือเป็นวันประวัติศาสตร์อีกวันหนึ่งเมื่อ ที่ประชุม คณะรัฐมนตรีได้มีการอภิปรายเรื่องระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ แต่ประเด็นอยู่ที่ความไม่พอใจที่มีข่าวว่าญี่ปุ่นพร้อมยุติสงครามโดยที่ไม่ได้แจ้งไทยในฐานะที่เป็นพันธมิตรก่อน แต่ก็ยังไม่มีการอภิปรายถึงอานุภาพของระเบิดปรมาณูที่มีความเสียหาย และทำให้ผู้คนล้มตายมากเพียงใด เป็นที่น่าสังเกตว่าหนังสือพิมพ์ต่อมาได้ลงข่าวเกี่ยวกับระเบิดปรมาณูในเชิงของการค้นคิดทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ สามารถนำมาใช้ประโยชน์และมีคุณกับชาวโลกในอนาคตได้เพียงใด แต่กลับไม่มีการนำเสนอระเบิดปรมาณูในเชิงลบ หรือในท่าทีของการทำลายล้างแต่อย่างใด
 

คนไทยคนเดียวที่มีโอกาสได้เห็นระเบิดปรมาณูตอนที่ระเบิด

 

     อุรา หรือ ณรัฐ วิโรจน์เพชร คือคนไทยคนเดียวที่มีโอกาสได้เห็นระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา และเป็นที่มาและประเด็นที่จุดประกายให้ รศ.ฉลอง สนใจที่จะศึกษาเรื่องระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา ในหนังสือ นิทานชาวไร่ เล่มที่ 11หน้า 132 – 162 มีการกล่าวถึงการระเบิดที่ฮิโรชิมา โดยกล่าวถึงการทำงานของคุณอุราในญี่ปุ่น ข้อความบางตอนที่คุณอุราเล่าให้คุณสวัสดิ์ผู้เขียนหนังสือ นิทานชาวไร่ คือ

“ ตอนนั้นอยู่ในห้องทดลองโลหะที่โรงงานฐานทัพเรือของญี่ปุ่นที่เมืองคุเระ ห่างจากฮิโรชิมาไป 40 กิโลเมตร ในเวลา 8.15 น. เห็นแสงแปล๊บผ่านทางช่องลม ในใจคิดว่าคงมีไฟฟ้าลัดวงจร จึงสั่งให้ตัดสวิทช์ใหญ่เสีย ขณะนั้นก็เกิดเหตุการณ์แผ่นดินสะเทือนประมาณครึ่งนาที ประกอบกับหูอื้อพร้อมกัน ทุกคนจึงวิ่งออไปข้างนอก เมื่อมองไปทางเมืองฮิโรชิมาซึ่งห่างออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร ก็แลเห็นความสีเทารูปเรียวเป็นลำตาลไม่มียอด ลอยคว้างเป็นกลางอากาศ (ยังไม่ใช่รูปเห็ด) ตกบ่ายจึงเห็นเป็นรูปเห็ดสีเทาลอยคว้างอยู่กลางหาว พอรุ่งเช้าก็มองไม่เห็นแล้ว”

คุณอุรา หรือคุณ ณรัฐ วิโรจน์เพชร เป็นลูกชายของพลตรีพระรณรัฐวิภาคกิจ (อุณห์ วิโรจน์เพชร) ซึ่งเป็นเจ้ากรมแผนที่ กับคุณหญิงผัน วิโรจน์เพชร คุณอุราเกิดวันที่ 2 กันยายน 2461 และเสียชีวิตในวันที่ 26 พฤษภาคม 2518 ด้วยโรคตับล้มเหลว จบการศึกษาระดับมัธยมศึกษา8 จากโรงเรียนเทพศิรินทร์ เมื่อเรียนจบอยากเข้าโรงเรียนนายเรือ แต่มีปัญหาทางกายภาพเลยไม่ผ่านเกณฑ์โรงเรียนนายเรือ แต่คุณพ่อส่งไปเรียนที่ญี่ปุ่นเพื่อมารับราชการทหารเรือในเมืองไทย ได้รับปริญญาตรีในปี 2484 จาก คิริว คอลเลจ ออฟ เทคโนโลยี และเรียนปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยวิศวกรรมโตเกียว โดยเป็นนักเรียนทุนของกองทัพเรือทางด้านโลหะ เมื่อกลับเมืองในในปี 2489 จึงรับราชการที่กรมอู่ทหารเรือจนถึงแก่กรรมในปี 2518

ที่มา : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) , atcloud.com


Admin : Chanya
view
:
5827

Post
:
2014-08-06 12:21:09


ร่วมแสดงความคิดเห็น