ถ้าใครเป็นนักดูหนังตัวยงก็คงต้องรู้จักเรื่อง The Conjuring คนเรียกผี แน่ๆ และก็คงต้องรู้แล้วว่าเรื่องราวในภาพยนตร์ได้มีการดัดแปลงจากเรื่องจริงของครอบครัวหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ซึ่งในวันนี้เราก็ขอนำเสนอเรื่องเกี่ยวกับบ้านผีสิงว่ามีที่มาที่ไปยังไงกัน
โปสเตอร์ภาพยนตร์เรื่อง The Conjuring คนเรียกผี
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสองสามีภรรยา โรเจอร์และแคโรลิน เพอร์รอน ต้องการให้ลูกสาวทั้ง 5 คนเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดีในชนบท ทั้งสองจึงตัดสินใจซื้อบ้านในฝันในช่วงฤดูหนาว ปี 1970 โดยสถานที่แห่งนี้มีชื่อว่าอาร์โนลด์ เอสเตท มีขนาด 200 เอเคอร์ ที่นี่เป็นพื้นที่เพาะปลูกซึ่งมีการสำรวจที่ดินโดย จอห์น สมิธ ชาวอาณานิคมเมื่อปี 1680 ต่อมาโฉนดที่ดินนี้ต่อมาตกเป็นของโรเจอร์ วิลเลียมส์เพื่อการพัฒนารัฐโรดไอส์แลนด์
ส่วนตัวที่ดินอยู่ที่ถนนราวด์ท็อป เมืองแฮร์ริสวิลล์ รัฐโรดไอส์แลนด์ ตัวบ้านสร้างขึ้นเมื่อปี 1736 ซึ่งมีทั้งหมด 10 ห้อง ขณะที่บางข้อมูลก็บอก 14 ห้อง โดยลูกสาวทั้ง 5 คนได้แบ่งห้องตามนี้ แนนซี่และคริสตินนอนห้องเดียวกัน ซินดี้และแอพริลก็นอนห้องเดียวกัน ด้านพี่สาวคนโตสุดแอนเดรียมีห้องเป็นของตัวเอง
ดังนั้นสรุปได้ว่าบ้านที่ครอบครัวเพอร์รอนตัดสินใจซื้อเป็นบ้านเก่าแก่ประมาณ 234 ปี มีขนาด10-14 ห้อง และมีโรงนา พื้นที่ 200 เอเคอร์
แผนที่บ้านจาก Google
และจริงๆ แล้ว บ้านหลังนี้ก็ฉายแววความเฮี้ยนมาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่กันเลยทีเดียว เพราะในรัฐโรดไอส์แลนด์ไม่มีกฎหมายที่คนอาศัยอยู่ก่อนต้องแจ้งคนมาใหม่ว่าเคยมีคนตายในบ้านมาก่อน
แล้วต่อมาภายหลังทั้งโรเจอร์และแคโรลีนก็รู้ว่าบ้านหลังใหม่ของพวกเขา มีคนตายมาแล้วถึง 8 รุ่นด้วยกัน ทว่าตายด้วยสาเหตุผิดธรรมชาติก็มี เช่น คุณนายจอห์น อาร์โนลด์ แขวนคอตายที่ขื่อโรงนาด้วยวัย 93 ปี และก็ไม่ใช่รายเดียวที่ฆ่าตัวตาย ยังมีรายอื่นๆ ที่จบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย กินยาตาย มีสองคนจมน้ำตายที่ลำธารใกล้ๆ กัน อีกสี่คนตัวแข็งตาย และสาวน้อยถูกข่มขืนและถูกฆ่าตายอีกด้วย
ถึงขนาดที่ตอนย้ายเข้าบ้านคนขายก็แนะนำว่าตอนกลางคืนให้เปิดไฟทิ้งไว้
บ้านหลังจริงเป็นบ้านชั้นเดียวและมีโรงนาอยู่ข้างๆ ไม่เหมือนกันในหนังที่เป็นบ้านสองชั้น
และด้วยความที่บ้านมีขนาดใหญ่ถึง 10 ห้องนอน แถมที่ดินกว้างขวางขนาดนั้น เงินที่โรเจอร์กับแคโรลินนำมาซื้อก็คงเป็นจำนวนมากทีเดียว เนื่องจากตอนแรกพวกเขาก็ไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้จนกระทั่งเจอผีต้อนรับเข้าไปเลยหลอนกันตั้งแต่วันแรกที่เข้าบ้าน
ซึ่งสำหรับในหนังผีที่ปรากกฎจะมีอยู่ทั้งหมด 4 ตนด้วยกัน แต่เรื่องจริงผีที่สองสามีภรรยาวอร์เรนเคยสำรวจไว้ค่อนข้างมีเยอะ และยังแบ่งได้เป็นมาดีกับมาร้ายอีกด้วย เช่น วิญญาณบางตนก็มีกลิ่นหอมดอกไม้ บางตนก็จะจูบลาส่งเด็กๆ ตอนนอน อีกตนก็เป็นเด็กผู้ชายที่มักจะเล่นรถของเล่นทำให้เด็กๆ เห็นรถของเล่นวิ่งได้ไปรอบห้อง ส่วนอีกตนก็อาจจะเป็นผีคนใช้หรือผีรักความสะอาด เพราะครอบครัวเพอร์รอนมักจะได้ยินเสียงกวาดพื้นดังมาจากห้องครัว พอเข้าไปดูที่มาของเสียงก็จะเห็นไม้กวาดถูกย้ายไปอยู่อีกที่ในห้องครัว แถมมีกองพวกเศษฝุ่นสกปรกต่างๆมากองไว้อยู่เหมือนวิญญาณจะกวาดให้แล้วรอคนมากวาดทิ้งถังเอง
ส่วนวิญญาณที่ลูกสาวของบ้านนี้ชอบกันมากๆ ก็คือ วิญญาณที่ชื่อ "แมนนี่" ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นวิญญาณของ จอห์น อาร์โนล์ด ที่ผูกคอตายเมื่อช่วงยุคศตวรรษที่ 18 โดยแมนนี่มักจะยืนเงียบๆ มองเด็กๆ เล่นกันในบ้าน แต่ถ้ามีใครสบตาเมื่อไรแมนนี่จะหายตัวไปทันที
นอกจากวิญญาณก็มีปรากฏการณ์แปลกๆ เช่น เตียงลอยได้ แถมลอยสูงจากพื้นเยอะด้วย พอมีคนเข้ามาให้ห้องหูโทรศัพท์ก็จะยกขึ้นมาแล้วลงมากระแทกกับตัวโทรศัพท์เอง ของกลิ้งไปมา แม้กระทั่งมีของเหลวสีส้มๆ ไหลหายไปในกำแพง
สภาพบ้านตอนกลางวันที่เชื่อว่าเป็นสถานที่ จอห์น อาร์โนล์ด ฆ่าตัวตาย
บริเวณที่ จอห์น อาร์โนล์ด เสียชีวิต
แน่นอนเมื่อมีวิญญาณดี ก็ย่อมมีวิญญาณร้ายที่ทำให้เกิดเรื่องราวจนกลายเป็นหนัง โดยมีพฤติกรรมอย่างเช่น จะมีวิญญาณที่จะมาดึงขาเด็กๆ ตอนกลางดึก แล้วก็มีมาเคาะประตูหน้า แถมเคาะแรงจนบ้านสั่นไปหมด
ต่อมาก็ประตูปิดเอง หรือไม่ก็เปิดประตูไม่ออกไม่ว่าจะออกแรงขนาดไหนก็ตาม หรือจะเป็นวิญญาณที่จะตะโกนร้องกลางดึกว่า "แม่จ๋า แม่จ๋า!" ดังลั่นบ้าน ส่วนซินดี้ลูกสาวคนที่4 ก็มักจะได้ยินวิญญาณมาบอกเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า "มีทหาร 7 นายถูกฝังในกำแพง" ส่วนอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ครอบครัวเพอร์รอนก็ยังจำได้ว่ามีวิญญาณเด็กน้อยวัย 4 ขวบเดินร้องไห้หาแม่ทั่วบ้าน
นอกจากนี้ยังมีวิญญาณอีกตนที่ครอบครัวไม่ได้เปิดเผยว่าทำอะไรไว้บ้าง แต่แอนเดรียพี่สาวคนโตได้เขียนเล่าประสบการณ์เผชิญหน้ากับวิญญาณตนนี้ในหนังสือชื่อ House of Darkness House of Light ว่าผีร้ายอาจจะเป็นผีลามก ลวนลามพวกเธอสมัยเด็กๆด้วย “พูดเลยว่ามีวิญญาณของผู้ชายที่ร้ายกาจเอามากๆอยู่ในบ้านกับเด็กสาวตัวเล็กๆห้าคน”
สุสานของอาร์โนล์ด
แต่ต่อให้เป็นวิญญาณแล้ว เหนือฟ้ายังมีฟ้า เพราะเหนือผีร้ายธรรมดายังมีผีที่ร้ายกาจกว่า ซึ่งวิญญาณตนนั้นคือ เบธชีบา
เบธชีบา มีชื่อจริงๆ ว่า เบธชีบา เชอร์แมน ที่ว่ากันว่าเป็นแม่มดและบูชาซาตาน โดยเธอผูกคอตายกับต้นไม้หลังโรงนา ซึ่งเบธชีบามักจะเล่นงานแคโรลินผู้เป็นแม่อยู่บ่อยครั้ง ส่วนสาเหตุที่ครอบครัวเพอร์รอนโดนเบธชีบาเล่นงานบ่อยครั้งและรุนแรง เนื่องจากครอบครัวนี้ไม่ใช่ครอบครัวเคร่งศาสนา จึงไม่ได้ศรัทธาในพระเจ้านัก
โดยในบรรดาคนที่อาศัยในที่ดินผืนนี้มีแค่นักเทศน์เท่านั้นที่ไม่ได้รายงานประสบการณ์แปลกในบ้านหลังนี้ให้โบสถ์ทราบ ซึ่งลอเรน วอร์เรนจึงได้อธิบายว่า
“พวกคุณมีเพียงแค่ศรัทธาเป็นเครื่องป้องกัน แต่ดิฉันมีศรัทธาอยู่เสมอ พระเจ้าปกป้องดิฉันและทำให้ดิฉันทำสิ่งนี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ครอบครัวเพอร์รอน ไม่มีศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่อันตรายมาก”
ป้ายหลุมศพเป็นสิ่งที่บอกว่าเบธชีบามีตัวตนจริง
ว่าแต่เบธชีบา เชอร์แมน เธอคือแม่มดจริงๆ หรือ?
เพราะไม่มีรูปถ่ายว่าเธอหน้าตาประมาณไหน แต่สิ่งที่บอกกันต่อๆ มา ก็เล่นเอาซะไม่รู้หน้าตายังเหลือความเป็นคนอยู่หรือเปล่า เนื่องจากเบธชีบาเป็นหญิงชั่วร้าย เป็นสิ่งมีชีวิตน่ากลัว จึงมีใบหน้าละม้ายคล้ายกับ "รังผึ้งตากแห้ง" ที่มีหยากไย่เต็มไปหมด ไม่มีส่วนไหนเป็นมนุษย์เลย นอกจากนั้นเหมือนจะมีพวกหนอนพวกแมลงออกมาจากรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
โดยศีรษะเธอมีลักษณะกลม ผมสีเทา เวลานั่งก็เอียงไปข้างหนึ่ง ราวกับว่าคอหัก แถมเวลาเธออยู่ในห้องไหนก็จะมีกลิ่นเหม็นคลุ้งอีกด้วย
ซึ่งในตอนที่เธอเกิดก็มีชื่อว่า เบธชีบา ธาเยอร์ (Bathsheba Thayer) เกิดเมื่อปี 1812 ที่รัฐโรดไอส์แลนด์ และแต่งงานกับหนุ่มโรดไอส์แลนด์ด้วยกัน คือ จัดสัน เชอร์แมน ( Judson Sherman) ซึ่งอายุมากกว่าเธอหนึ่งปี เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 1844 ที่เมืองทอมป์สัน รัฐคอนเนตติกัต
เบธชีบารับหน้าที่เป็นแม่บ้าน ในขณะที่สามีก็เป็นชาวไร่มีที่ดินของตัวเอง ฐานะจึงจัดได้ว่ามีอันจะกินเลยทีเดียว ทั้งคู่มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน ชื่อว่า เฮอร์เบิร์ต แอล.เชอร์แมน (Herbert L. Sherman) เกิดเมื่อเดือนมีนาคม 1849 ซึ่งเป็นตอนที่เบธชีบาอายุ 37 ปีเข้าไปแล้ว แต่ในบางข้อมูลก็บอกเธอมีลูกอีก 3 คน แต่อายุสั้น ไม่เกิน 4-7 ขวบก็ตายกันหมด
แล้วในสมัยยังมีชีวิตอยู่ เบธชีบาใช้ชีวิตอย่างสันโดษ เป็นคนที่สังคมไม่ยอมรับ ซึ่งสาเหตุน่าจะมาจากเธอถูกกล่าวหาว่าฆ่าลูกน้อยของตัวเองเพื่อบูชาซาตาน ศพเด็กมีร่องรอยเหมือนถูกของมีคมแทงเข้าที่หัว แต่เพราะไม่มีหลักฐาน ข้อกล่าวหาจึงตกไป
นอกจากนี้บางข้อมูลยังบอกว่าเบธชีบาชอบทารุณคนงานในฟาร์ม เช่น ให้อดอาหาร ทุบตี เป็นการลดโทษจากการกระผิดเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
แต่แล้วเบธชีบาก็ได้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 1885 ด้วยร่างกายซูบผอมและตัวแข็งราวกับว่าร่างเธอกลายเป็นหิน
ซึ่งจริงๆ แล้วเบธชีบาอาจไม่ได้เป็นแม่มดก็ได้ เพราะไม่มีรูปยืนยันว่าหน้าตาสมัยสาวๆ เป็นยังไง หรือสามีเธอหน้าตายังไง ส่วนเรื่องลูกที่ตายก็ไม่มีหลักฐาน และไม่มีหลักฐานว่าเธอมีลูกอีกสามคนแล้วตายตั้งแต่เล็กหรือมีลูกคนเดียวกันแน่ อีกทั้งชาวบ้านเองก็ไม่ชอบหน้าเธอก็เลยเอาไปแต่งเรื่องเพิ่ม อย่าลืมว่าสมัยก่อนเด็กก็มักอายุไม่ยืน เพราะเรื่องการแพทย์ที่ยังไม่ก้าวหน้า หรือไม่แน่เธออาจจะป่วยด้วยโรคที่สมัยนั้นยังไม่มีคำอธิบายทำให้สังคมรังเกียจ ร่างกายไม่แข็งแรง ลูกเลยไม่แข็งแรง และชาวบ้านเลยไม่ชอบและคิดว่าเป็นแม่มดก็ได้ แต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเธอก็อายุยืนยาวจนถึง 73 ปีเลย
นอกจากแคโรลีนผู้เป็นแม่จะโดนเบธชีบาคุกคามอย่างหนัก ลูกสาวคนที่สี่ ซินดี้ ก็โดนไม่ใช่น้อยเช่นกัน นอกจากนี้ที่ไม่มีในหนังคือ เบธชีบามีท่าสนใจโรเจอร์หัวหน้าครอบครัวเพอร์รอนเอามากๆ เพราะสมัยที่ยังทนอยู่บ้านนี้กัน ข้าวของในบ้านเสียหาย พังเอาดื้อๆ โรเจอร์จึงต้องเอาข้าวของที่พังไปซ่อมที่ห้องใต้ดิน เขาจะรู้สึกว่าเบธชีบากำลังจับต้องตัวเขา ลูบไล้คอ และเอามือลูบไล้หลัง ในขณะที่เบธชีบาพิศวาสโรเจอร์มาก ไม่แปลกเลยที่เธอจะเกลียดแคโรลินมากๆ จึงน่าจะพอรู้แล้วว่าทำไมจึงต้องคุกคามเอาให้แคโรลินอยู่ไม่ได้
ต่อมาหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น Providence Journal เคยลงเรื่องนี้ไว้เมื่อปี 1977 ว่า
“คุณนายเพอร์รอนบอกว่ามีอยู่วันหนึ่งเธอตื่นขึ้นมาก่อนเช้ามืด แล้วเจอผีโผล่มาข้างเตียงเธอ หัวของผีหญิงชราก็ห้อยอยู่ข้างๆ ชุดสีเทาของมัน และมีเสียงดังก้องว่า "ออกไป ออกไปซะ ข้าจะไล่แกออก ออกไปด้วยความตายและความโศกเศร้า"
ป้ายสุสานของเบธชีบา
แคโรลินที่โดนเบธชีบาคุกคามก็ถูกเริ่มมาจากการ หยิก ตบ และโยนของใส่ แต่พอรู้ว่าแคโรลินกลัวไฟมาก ก็เลยใช้ไฟมาคุกคามด้วย โดยหวังว่าจะไล่ผู้หญิงคนนี้ออกไปจากบ้านให้ได้
แต่ยิ่งแคโรลินทนอยู่ เบธชีบาก็หาทางหลอกหลอนหนักและรุนแรงขึ้น มีอยู่ครั้งหนึ่งที่แคโรลินนอนหลับอยู่บนโซฟา แล้วตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกเจ็บที่น่อง พอดูที่น่องก็พบว่าน่องเหมือนโดนเข็มเย็บผ้าเล่มใหญ่ทิ่มจนเลือดออก พอใช้วิธีไหนก็ไล่แคโรลินออกไปไม่ได้
เบธชีบาจึงเริ่มโจมตีแคโรลินจากภายใน นั่นคือ เข้าสิงนั่นเอง และเมื่อเชื่อว่าไม่ใช่แคโรลินคนเดิม ครอบครัวเพอร์รอนจึงการความช่วยเหลือกับผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อย่างด่วน
พอครอบครัวเพอร์รอนที่เมื่อเริ่มเชื่อว่าแคโรลินถูกผีเข้าสิงจึงเริ่มหาคนช่วยจนได้ยินชื่อของสองสามีภรรยา เอ็ด และ ลอเรน วอเรน ซึ่งเป็นนักสืบเรื่องเหนือธรรมชาติมานานนับสิบๆ ปี และเมื่อได้ยินเรื่องราวอันน่าสะพรึงกลัวมีหรือที่ เอ็ด วอเรน จะปฏิเสธ
โดยแอนเดรีย เพอร์รอนจำคืนที่มีการไล่ผีในบ้านเธอได้ดี
"คืนที่ชั้นคิดว่าชั้นเห็นแม่ตายคงเป็นคืนที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด แม่พูดด้วยน้ำเสียงที่พวกเราไม่เคยได้ยินมาก่อน และพลังงานที่ไม่ใช่ของโลกนี้โยนแม่สูงกว่า 20 นิ้วไปยังอีกห้องหนึ่ง"
แต่โชคไม่เข้าข้างเท่าไหร่ เพราะเรื่องจริงไม่ได้จบแบบสวยงามฟ้าสดใสอย่างในหนัง เพราะแคโรลินย้อนระลึกถึงคืนนั้นว่าเป็น "คืนที่น่าสยดสยอง" และอธิบายด้วยว่าถึงพวกวอร์เรนจะมีความตั้งใจดีจะมาช่วยครอบครัวของเธอ แต่พอยิ่งไล่ผีเรื่องยิ่งแย่ลง สถานการณ์เริ่มควบคุมไม่ได้ โรเจอร์จึงสั่งให้ทั้งเอ็ดและวอร์เรนออกจากบ้านไปทันที
ครอบครัวเพอร์รอน ที่แอนเดรียลูกสาวคนโตขณะนั้นอายุได้ 12 ปี ไม่ได้เป็นวัยรุ่นอย่างในหนัง
แล้วเมื่อครอบครัวเพอร์รอนได้รู้ว่าทุกคนที่เคยอาศัยในบ้านหลังนี้ก็เจอปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติกันถ้วนหน้า ซึ่งยกเว้นครอบครัวของนักเทศน์ โดยคนที่อยู่ก่อนหน้าครอบครัวเพอร์รอนเองก็เคยจ้างผู้รับเหมามาซ่อมแซมบ้าน ในขณะที่ผู้รับเหมาผู้โชคร้ายคนดังกล่าวกำลังวุ่นกับการซ่อมแซมบ้าน จู่ๆ เขาก็หยุดทำงานและหนีออกจากบ้านหลังนั้น โดยมีรายงานว่าเขาออกจากบ้านพร้อมเสียงกรีดร้องและทิ้งเครื่องมือ รวมทั้งรถไว้อีกด้วย โดยที่เจ้าของบ้านก็ไม่เคยมาอยู่ที่บ้านแล้วปล่อยว่างไว้หลายปีจนครอบครัวเพอร์รอนไปเจอว่าบ้านนี้ประกาศขาย
พอเจอกันอย่างนี้แล้ว ทำไมครอบครัวเพอร์รอนไม่รีบย้ายนี้ออก เพราะเรื่องนี้เกี่ยวกับสถานะทางการเงินของครอบครัว ทำให้จำต้องลงหลักปักฐานอยู่ที่บ้านในฝันสุดหลอนเป็นเวลาถึง 10 ปีด้วยกัน จะหนีไปไหนก็ไม่ได้เนื่องจากไม่มีเงินพอซื้อบ้านใหม่ เลยต้องทนอยู่กับผีทั้งดีและร้ายไป จนกระทั่งปี 1980 พอสถานะการทางการเงินของครอบครัวเริ่มดีขึ้น แคโรลินก็ยืนกรานว่ายังไงก็ต้องย้าย ในที่สุดทั้งหมดก็เลยย้ายหนีผีไปอยู่รัฐจอร์เจียทางใต้จนถึงปัจจุบัน
ภาพของบ้านในมุมต่างๆ
รูปประตูสู่ห้องใต้ดินที่บ้านตระกูลเพอร์รอน
ภาพห้องใต้ดิน ต่างจากในหนัง ของจริงยาวตามทรงบ้าน
ภาพในบ้าน
จัดว่าเป็นบ้านที่น่าอยู่อีกหลัง หากไม่มีสิ่งไม่พึ่งประสงค์คุกคาม
ที่มา: horrorclub.net