มนุษย์เป็นอีกหนึ่งมีชีวิตที่เข้าใจกันยากแม้จะเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันก็ตาม ซึ่งบางทีการผิดใจกันเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดเรื่องใหญ่บานปลายจนถึงทำให้อีกฝ่ายต้องสูญเสียชีวิตได้ แต่บางครั้งภายใต้จิตใจก็มีอะไรบ้างอย่างที่สามารถทำให้คนคนหนึ่งลุกขึ้นมา “สังหาร” คนได้เพียงเหตุผลสั้นๆ คือ “ชอบ” ซึ่งกรณีเข้าข่ายกรณีที่เรียกว่า ฆาตกรโรคจิต
ที่ผลสุดท้ายแล้วเหล่าฆาตกรไม่ว่าเกิดจากเหตุผลใดก็ตามก็ถูกส่งเข้าคุกตามระเบียบ แต่ทว่ากลับมีฆาตกรหลายคนกับสามารถหนีรอดจากเงื้อมมือตำรวจได้เสมอแล้วกลายเป็นคดีฆาตกรรมปริศนาจับมือใครดมไม่ได้ไปในที่สุด ซึ่งมีหนึ่งในนั้นถูกจัดว่าเป็นปริศนามากที่สุดคนหนึ่งเพราะระยะเวลานั้นผ่านไปมากกว่า 200 ปีแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของ “แจ็ค เดอะ ริปเปอร์” เลยสักคน!
แต่อย่างไรก็ตามด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้นำไปสู่ทฤษฎีใหม่ๆ การค้นหาหลักฐานใหม่ๆ ก็กำลังดำเนินไป มันอาจช่วยค้นหาคำตอบปริศนาต่างๆ ในอดีตให้เราได้ ดังนั้นรายการ Mystery Quest ได้สืบสวนและจำลองสถานการณ์เพื่อทดสอบว่าใครกันแน่ที่เป็นแจ๊คเดอะริปเปอร์ และจากหลักฐานพบว่ามีผู้ต้องสงสัยใหม่อีกสองรายซึ่งทีมงานจะเน้นไปที่สองคนนี้ คนหนึ่งเป็นคนที่อ้างว่าเป็นแพทย์ชาวอเมริกัน ส่วนอีกคนเป็นผู้หญิงที่ฆ่าภรรยาและลูกของชายชู้ของเธอ การสืบสวนนี้ค้นหาจากหลักฐานที่เหลืออยู่เท่านั้น เพราะผู้ต้องสงสัย พยาน และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ในเวลานั้นตายไปหมดแล้ว
ซึ่งเรื่องราวทุกอย่างได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ วันที่ 31 สิงหาคม ปี ค.ศ.1888 เวลา 03:00 น. ไวท์ชาเปล, ลอนดอน ในกลางดึกคืนหนึ่งหญิงสาวเดินอยู่ตามลำพังบนถนน มีเงาหนึ่งเดินตามเธอมา เธอถูกรัดคอจนหมดสติ ฆาตกรก็ได้นำมีดขนาด 12 นิ้วออกมาชำแหละเธอ แล้วเพียงไม่กี่นาทีต่อมามีคนพบศพของเธอ ลำคอของเธอถูกเชือด ร่างที่ไร้วิญญาณยังคงอุ่นอยู่ และนี่คือศพแรกที่เป็นฝีมือของ แจ๊ค เดอะริปเปอร์ แล้วใครล่ะคือฆาตกรผู้นี้ ภายใต้เงาที่ลึกลับฆาตกรยังไม่ถูกเปิดเผย แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ยังคงสังหารเหยื่อซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่กลับหนีรอดจากการถูกจับกุมไปได้ ฆาตกรต่อเนื่องที่โด่งดังที่สุดคนหนึ่งของโลก ออกมาเพ่นพ่านอยู่บนถนนของลอนดอนในช่วงทศวรรษที่ 1800 มีเหยื่อที่เป็นผู้หญิงอย่างน้อยห้าคน ฆาตกรผู้นี้คว้านอวัยวะภายในของเหยื่อออกมา ตำรวจค่อนข้างจะแน่ใจหลังจากที่ตรวจศพของเหยื่อว่าฆาตกรจะต้องมีความรู้และทักษะในด้านการผ่าตัด มันเป็นทักษะที่โดดเด่นของฆาตกรผู้นี้ และนี่ก่อให้เกิดความกลัวไปทั่วอังกฤษและทั่วโลก นับเป็นฆาตกรต่อเนื่องรายแรกของโลกก็ว่าได้
แต่แล้ววันหนึ่งฆาตกรที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหนจู่ๆ ก็ได้หายไป ทำให้รายการ Mystery Quest ได้ส่งทีมงานไปตามย่านต่างๆ ของลอนดอนเพื่อทำการสืบสวน ทีมงานจะตรวจสอบหลักฐานใหม่ๆ ที่โยงไปถึงผู้ต้องสงสัยรายใหม่สองคน คนหนึ่งคือแพทย์ชาวอเมริกัน ฟรานซีส ทัมเบิลตี้ (Francis Tumblety) และอีกคนหนึ่งที่เป็นที่น่าประหลาดใจเป็นผู้หญิงที่มีชื่อว่า แมรี่ เพียร์ซี่ (Mary Pearcey) ทีมงานจะทดสอบว่า เพียร์ซี่จะมีสรีระร่างกายที่แข็งแรงพอที่จะจัดการกับเหยื่อได้หรือไม่ และพวกเขาจะเปรียบเทียบลายมือของผู้ต้องสงสัยกับข้อความที่เชื่อว่าเป็นของฆาตกรผู้นี้ ทีมงานจะทดสอบทฤษฎีเกี่ยวกับเส้นทางหลบหนีของฆาตกร และกำหนดรูปแบบทางด้านจิตวิทยา (Criminal Profile) รวมทั้งจะเทียบกับหลักฐานนี้ของผู้ต้องสงสัยแต่ละราย
ทฤษฎีที่ว่าใครคือแจ๊คเดอะริปเปอร์อยู่กับเรามากว่า 2 ศตวรรษแล้ว ผู้ต้องสงสัยก็มีตั้งแต่ ลูอิส คาร์โรลล์ นักเขียนเรื่องอลิสอินวันเดอร์แลนด์ ไปจนถึง วอลเตอร์ ชิคเกิร์ต นักวาดภาพอิมเพรสชั่นนิสม์ที่โด่งดัง และที่แปลกที่สุดก็มีข่าวลือว่ามีคนของราชวงศ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งก็คือเจ้าชายอัลเบิร์ต วิคเตอร์ หลานของพระนางวิคตอเรียที่มักจะเสด็จไปในย่านที่เกิดคดีฆาตกรรมนี้อยู่บ่อยครั้ง มีข่าวลือออกมาว่าอัลเบิร์ตคือบิดาของเด็กคนหนึ่งที่เกิดจากสาวชาวบ้านและพระราชินีทรงสั่งให้กำจัดผู้หญิงทุกคนที่รู้จักเด็กคนนี้ แต่มีทฤษฎีใหม่ล่าสุดที่ระบุว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์ไม่ใช่ผู้ชาย ซึ่งไม่ใช่ต้องเรียกว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์ จริงๆ ต้องเรียกจิลเดอะริปเปอร์ มากกว่า
ต่อมาในปี 2006 ผู้เชี่ยวชาญดีเอ็นเอจากออสเตรเลียได้ทดสอบน้ำลายจากจดหมายที่เชื่อกันว่าถูกส่งมาจากแจ๊คเดอะริปเปอร์ การทดสอบระบุว่าผู้ที่ปิดผนึกจดหมายฉบับนี้คือผู้หญิง ทีมงานได้แกะรอยหาหลักฐานโดยเริ่มจากการทดสอบนี้ เบรนท์ เทอ์เวย์ (Brent Turvey) มุ่งมั่นจะไขปริศนานี้ให้ได้ เขาเป็นหนึ่งในนักวิเคราะห์พฤติกรรมแนวหน้าของโลก วิธีการของเขาถูกนำไปสอนในหน่วยงานของ FBI ส่วนสจ๊วต อีแวนส์ (Stewart Evans) อดีตตำรวจชาวอังกฤษผู้เชี่ยวชาญในคดีแจ๊คเดอะริปเปอร์ได้ร่วมทำงานกับเบรนท์เพื่อไขปริศนาของคดีนี้
และแน่นอนว่าผู้ต้องสงสัยใหม่อย่างแมรี่ เพียร์ซี่ นั้นได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ในปี 1890 แล้วหลังจากที่ฆ่าภรรยาและลูกของชายชู้ของเธอ การฆ่าของผู้หญิงคนนี้เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม เธอปาดคอเหยื่อฆาตกรรมของเธอคนนั้นลึกมากจนมันแทบจะหลุดออกมาเลยทีเดียว ก่อนถูกตัดสินเพียร์ซี่ได้เขียนจดหมายถึงครอบครัวของเธอ ทำให้ได้เห็นถึงจิตใจของเธอ ก่อนจะสืบสวนคดีนี้ ทีมงานจะต้องกำหนดรูปแบบด้านจิตของฆาตกรรายนี้ออกมาเสียก่อน พวกเขาเริ่มต้น ณ จุดที่มีการฆาตกรรมเหยื่อรายแรก ภาพถ่ายและคำบอกเล่าต่างๆ นั้นไม่สามารถสรุปเป็นข้อมูลชี้ชัดออกมาได้ ต้องออกไปดูที่จุดเกิดเหตุ สร้างประสบการณ์ด้านเสียงและฉากของความสัมพันธ์ออกมาซะก่อน
เหยื่อรายแรกของแจ็ค เดอะ ริปเปอร์ “แมรี่ แอนน์ นิโคลส์”
โดยเหยื่อรายแรกคือ แมรี่ แอนน์ นิโคลส์ เธอถูกพบศพเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 1888 เวลา 03:45 บนถนนที่มีชื่อว่าบัคโรล ศพของเธอถูกปาดคอเข้ามาที่ทั้งสองด้านจนศีรษะเกือบจะหลุด และที่ส่วนท้องก็ถูกชำแหละด้วยมีดยาวอย่างโหดเหี้ยม ตรอกตรงที่เกิดเหตุทั้งเปลี่ยวและมืด ไม่มีใครสัญจรไปมาในช่วงเช้าตรู่ มันเหมาะอย่างยิ่งสำหรับพวกโจรหรือฆาตกร มีหญิงโสเภณีมากมายที่มาหาลูกค้าอยู่ และทุกคนก็รู้ว่ามีจุดที่เงียบสงบตรงไหนบ้างที่จะทำธุระส่วนตัว ฆาตกรน่าจะเป็นคนที่รู้จักพื้นที่นี้ดี ฆาตกรผู้นี้มุ่งเป้าหมายไปยังพวกผู้หญิงหากิน และรู้ว่าเหยื่อของเขาน่าจะพาไปยังที่ๆ เหมาะที่สุด หรือจุดที่แทบไม่มีใครสังเกตเห็น รูปแบบและพฤติกรรมของฆาตกรค่อยๆ ปรากฏขึ้น ดูเหมือนเขาจะโกรธและเกลียดพวกผู้หญิงนี้อย่างมาก
การฆาตกรรมในครั้งนี้เกิดขึ้นในเขตไวท์ชาเปลของลอนดอน มันเป็นย่านสลัมที่แออัดไปด้วยคนจน พวกเขาเหล่านี้ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างอดๆ อยากๆ นั่นทำให้ผู้หญิงหลายคนออกมาตามท้องถนนเพื่อมาขายบริการทางเพศ เมื่อเกิดคดีฆาตกรรมความแตกตื่นจึงเกิดขึ้นทั่วพื้นที่ เมื่อผู้หญิงกลายเป็นศพทั่วลอนดอน หนังสือพิมพ์พากันประโคมข่าวและเกิดความบ้าคลั่งในการแย่งกันเพื่อระบุรายละเอียดของฆาตกรและข้อมูลที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์ลงรูปวาดต่างๆ ที่เกี่ยวกับการฆาตกรรม นั่นยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของแจ๊คเดอะริปเปอร์ดูน่ากลัว ซึ่งบางส่วนก็เป็นการแต่งเติมของสื่อส่วนหนึ่งคือ จดหมายที่อ้างว่ามาจากฆาตกรรายนี้เริ่มปรากฏอยู่บนหนังสือพิมพ์ด้วยฝีมือของนักหนังสือพิมพ์ที่ไร้จรรยาบรรณบางคน แต่มีจดหมายฉบับหนึ่งลงวันที่ 18 ตุลาคม และลงชื่อว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์ ที่หลายคนเชื่อว่ามันเป็นของฆาตกร จดหมายถูกส่งไปให้คนกลุ่มหนึ่งที่กำลังออกลาดตระเวนท้องถนน มันถูกพบในกล่องใบหนึ่งที่มีไตของมนุษย์อยู่ข้างใน ซึ่งอาจจะเป็นของเหยื่อรายที่สี่ แคทเธอลีน เอ็ดโดวส์ ที่ถูกฆ่าตายไปเมื่อสองสัปดาห์ก่อนถูกพบศพโดยไม่มีไต ไตข้างซ้ายของเธอและมดลูกถูกตัดออกโดยฆาตกร
ส่วนวิธีที่เหยื่อส่วนใหญ่ถูกฆ่าตายก็เป็นเบาะแสที่สำคัญถึงพฤติกรรมของแจ๊คเดอะริปเปอร์
เหยื่อรายที่สอง แอนนี่ แชปแมน 8 กันยายน 1888
โดยที่เธอนั้นถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ส่วนคอก็มีบาดแผลลึกมากไปถึงกระดูกด้านหลัง ส่วนท้องทั้งหมดก็ถูกคว้านออกมา สิ่งที่หายไปก็คือมดลูก และมันไม่ใช่แค่การคว้านไส้แล้วนำอวัยวะออกมาเท่านั้น จุดเด่นก็คือมันเป็นความพยายามกระทำกับสิ่งที่บ่งบอกเพศของเหยื่อ มันเป็นความพยายามและต้องใช้เวลาอย่างมาก มีการระบุว่าพบมีดที่อาจเป็นของฆาตกร มันมีความคมและถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ และมีความคล้ายคลึงกับมีดผ่าตัดของแพทย์ ซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกลักษณะของฆาตกรรายนี้ได้ รายละเอียดของการฆาตกรรมระบุว่าฆาตกรต้องมีความรู้ด้านการแพทย์ กายวิภาค สรีระร่างกาย
ฟรานซีส ทัมเบิลตี้ นายแพทย์ชาวอเมริกัน
ต่อมาผู้ต้องสงสัยนายแพทย์ชาวอเมริกัน ฟรานซีส ทัมเบิลตี้ เพราะเป็นคนที่มีความรู้ด้านนี้เฉพาะทาง โดยหมอทัมเบิลตี้นั้นไม่เคยเป็นที่รู้ของประชาชนทั่วไป แต่แล้วเขาก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยเมื่อมีการพบจดหมายฉบับหนึ่งที่มาจากหน่วยงานของสก็อตแลนด์ยาร์ดที่บอกว่าพวกเขากำลังสงสัยชายคนนี้ รายงานนี้ถูกเขียนขึ้นเมื่อปี 1913 หน่วยพิเศษของสก็อตแลนด์ยาร์ดหรือหน่วยข่าวกรองลับ มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟรานซีส ทัมเบิลตี้ว่าเขามักจะแต่งตัวเป็นทหารและอ้างว่าทำงานให้กับกองทัพ จากรูปถ่ายของเขาเครื่องแบบที่เขาใส่ผิดปกติมากและมันน่าจะเป็นชุดทหารปลอม
ฟรานซีส ทัมเบิลตี้ดูเหมือนศิลปินที่มีเล่ห์เหลี่ยมมาตั้งแต่วัยรุ่น เขาเติบโตขึ้นมาในโรเชสเตอร์ นิวยอร์ค และพอผ่านช่วงวัยรุ่น เขาก็กลายเป็นแพทย์คนหนึ่ง เขาสร้างเรื่องอื้อฉาวด้วยการขายสมุนไพรและยาปลอมไปทั่วอเมริกา และเมื่อปัญหาเริ่มปรากฏ เขาก็รีบย้ายออกจากอเมริกาทันที หลักฐานระบุว่าเขาเดินทางมาอังกฤษเมื่อเดือนมิถุนายนปี 1888 และช่วงเวลาที่เกิดคดีแจ๊คเดอะริปเปอร์ เขาก็อยู่ในลอนดอนด้วย หลักฐานระบุว่าเขาอาศัยอยู่ในย่านถนน Batty Street ซึ่งอยู่ติดกับถนน Birners เป็นที่เกิดเหตุที่เหยื่อรายที่สามและสี่ถูกฆาตกรรมในครั้งเดียวกันที่ถูกเรียกว่าการลงมือฆ่าซ้อน เจ้าของอพาร์ตเม้นท์แจ้งว่าชายอเมริกันที่มาเช่าพักหายตัวไปในคืนวันนั้น
และเหยื่อรายที่สาม เอลิซาเบ็ธ สไตรด์ ถูกพบเป็นศพ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 1988 เวลาประมาณ 01:00 น. บนถนน Birners ศพของเธอถูกปาดคอและมีรอยฟกช้ำที่หัวไหล่ ดูเหมือนว่าอาจมีใครสักคนมาขัดจังหวะฆาตกร ศพของเธอจึงไม่ถูกชำแหละเหมือนรายอื่น ไม่ถึง 1 ชั่วโมงหลังจากนั้นในเเวลา 01:45 น. ก็มีคนพบศพ แคทเธอรีน เอ็ดโดว์ เหยื่อรายที่ 4 ศพของเธอถูกหั่นไม่มีชิ้นดี และเพียง 15 นาทีหลังจากนั้นเวลา 02:00 น. ทัมเบิลตี้ถูกพบที่โรงแรม Batty Street ทีมงานได้จำลองการเดินทางจากจุดที่ฆาตกรรมไปยังจุดที่พบเศษเสื้อผ้าเปื้อนเลือดของเหยื่อ และจุดที่พบทัมเบิลตี้ก็พบว่าเป็นไปได้ที่จะใช้เวลาเดินทาง 15 นาทีซึ่งสัมพันธ์กับเวลาที่เขาเดินทางกลับมาที่โรงแรม
เหยื่อรายที่ 3 เอลิซาเบ็ธ สไตรด์
โดยพื้นเพของทัมเบิลตี้แล้วก็ดูเหมือนว่าจะเกลียดผู้หญิงเอามากๆ ทัมเบิลตี้เคยเล่าว่าเขาเคยแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเขารักเธอมาก แต่ตอนหลังพบว่าเธอเป็นโสเภณี ทั้งคู่จึงแยกทางกันและตั้งแต่นั้นมาทัมเบิลตี้ก็ไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงอีกเลย เขามีลักษณะหลายอย่างที่เข้าข่ายว่าจะเป็นแจ๊คเดอะริปเปอร์ที่ทั้งเกลียดผู้หญิงและพอจะมีความรู้ด้านการแพทย์อยู่บ้าง เขาเคยถูกจับและต้องสงสัยว่าเป็นแจ๊คเดอะริปเปอร์แต่ไม่มีหลักฐานใดๆ โยงใยไปถึง เขาประกันตัวออกมาและรีบกลับไปอเมริกาและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น แฟลงค์ ทาวน์เซนด์
ส่วนผู้ต้องสงสัยอีกคนหนึ่งที่เป็นผู้หญิง ที่มีข่าวลือว่าจริงๆ แล้วแจ๊คเดอะริปเปอร์อาจจะเป็นผู้หญิงที่จงเกลียดจงชังผู้หญิงหากิน แต่ตำรวจในตอนนั้นไม่คิดว่าผู้ต้องสงสัยจะเป็นผู้หญิง แต่จากการทดสอบในปัจจุบันที่พบว่า DNA ที่อยู่ในน้ำลายที่ปิดผนึกจดหมายที่น่าจะเป็นของฆาตกรนั้นเป็น DNA ของผู้หญิง ทางทีมงานจึงได้ทดสอบว่าเป็นไปได้ไหมที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีแรงพอที่จะฆาตกรรมคนได้อย่างโหดเหี้ยมและรุนแรง ทีมงานได้ทดสอบด้วยการใช้เครื่องวัดแรงกดที่กระทำต่อเหยื่อโดยให้ผู้หญิงที่มีรูปร่างพอๆ กับ แมรี่ เพียร์ซี่ ผู้ต้องสงสัย ออกแรงบีบคอและกดเหยื่อหุ่นจำลองซึ่งมีเครื่องวัดแรงกดนั้นอยู่ด้านล่าง หลังการทดสอบพบว่าเป็นไปได้ที่ผู้หญิงจะสามารถออกแรงกดและบีบคอเหยื่อให้หมดสติภายในเวลาสั้นๆ เหมือนอย่างที่แจ๊คเดอะริปเปอร์ทำกับเหยื่อ
สภาพเหยื่อรายที่ 4 แคทเธอรีน เอ็ดโดว์
และการฆาตกรรมโหดสองแม่ลูกของแมรี่ เพียร์ซี่ ก็คล้ายกันมากกับคดีของแจ๊คเดอะริปเปอร์ แมรี่มีความสัมพันธ์กับชายที่แต่งงานแล้ว ด้วยความอิจฉาริษยาเธอจึงฆ่าภรรยาและลูกของเขา เธอหลอกล่อเหยื่อมาที่บ้านของเธอและสังหารเหยื่อด้วยที่เขี่ยไฟในเตาผิง เธอนำทารกใส่เข้าไปในเตา หลังจากนั้นก็นำศพของทั้งสองใส่ลงในรถเข็นเด็กเพื่อนำออกไปทิ้งให้ไกลจากบ้านของเธอ ศพของผู้หญิงคนนั้นถูกพบโดยที่ลำคอมีบาดแผลที่ลึกมากซึ่งเป็นสัญลักษณ์ในการฆ่าของแจ๊คเดอะริปเปอร์ และในคำให้การของแมรี่ เพียร์ซี่ที่เธออ้างว่าเธอไม่มีทางเลือก เธอต้องนำศพของผู้หญิงคนนั้นใส่ลงในรถเข็นเด็ก เพื่อที่จะนำศพยัดลงไปในรถเข็นเด็ก เธอจึงต้องตัดส่วนคอลงไปลึกมากเพื่อให้ศพสามารถยัดลงไปได้
การสืบสวนอีกอย่างหนึ่งคือการตรวจสอบลายมือของผู้ต้องสงสัยกับลายมือในจดหมายที่คาดว่าเป็นของแจ๊คเดอะริปเปอร์ เจ้าหน้าที่ได้รับจดหมายจำนวนมากที่อ้างว่าเป็นของฆาตกรรายนี้ แต่ส่วนใหญ่ถูกพิสูจน์แล้วว่ามันถูกปลอมขึ้นมา ยกเว้นจดหมายฉบับหนึ่งที่ถูกส่งมาให้หน่วยลาดตะเวนของพลเรือน ซึ่งมันถูกส่งมาพร้อมกับไตข้างหนึ่งของมนุษย์ จดหมายนี้จ่าหน้าว่ามาจากนรก ไม่มีลายเซ็นอยู่ที่ท้ายจดหมาย มันมาพร้อมกับไตข้างหนึ่งของ แคทเธอรีน เอ็ดโดว์ มันถูกเขียนเอาไว้ว่า "ผมส่งไตมาให้คุณครึ่งหนึ่ง มันถูกเอาออกมาจากผู้หญิงคนหนึ่ง และผมห่อเอาไว้อย่างดี ผมหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ เพื่อที่คุณจะได้กินได้ง่าย ผมอาจจะส่งมีดเล่มนั้นมาให้คุณอีก ถ้าคุณจะกรุณารอต่อไปอีกสักพัก ลงชื่อ มาจากผม ถ้าคุณทำได้"
ส่วนในเนื้อหาของจดหมายจากแจ็ค เดอะ ริปเปอร์
ต่อมาจดหมายฉบับนี้ก็ได้หายไปจากห้องเก็บหลักฐานของสก็อตแลนด์ยาร์ด เมื่อปี 1950 แต่โชคยังดีที่มีสำเนาให้ทำการเปรียบเทียบและวิเคราะห์ลายมือ นักวิเคราะห์ลายมือได้ระบุว่า ผู้ที่เขียนนี้มีลักษณะที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นผู้ที่ชอบล่วงละเมิดทางเพศผู้อื่น และการสะกดคำในจดหมายสามารถระบุได้ว่าเป็นลักษณะการสะกดคำของชาวไอริช ซึ่งค่อนข้างระบุได้ว่าคนที่เขียนจดหมายนี้มีภูมิหลังเป็นชาวไอริช ซึ่งผู้ต้องสงสัย ฟรานซิส ทัมเบิลตี้ ที่เป็นชาวอเมริกันแต่มีพ่อเป็นชาวไอริชจึงยังอยู่ในข่ายเป็นแจ็คเดอะริปเปอร์ และเมื่อนำจดหมายจากนรกมาเปรียบเทียบกับจดหมายของทัมเบิลตี้ก็พบว่ามีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก สิ่งหนึ่งที่พบว่าคล้ายกันก็คือการเชื่อมโยงคำที่ไม่ปกติ และการเขียนตัววายที่ลากหางยาวไปที่คำด้านล่างที่อยู่อีกบรรทัดหนึ่ง ซึ่งสุดท้ายแล้วผู้เชี่ยวชาญด้านลายมือก็สรุปว่า มีความเป็นไปได้ว่าผู้ที่เขียนจดหมายจากนรกคือตัวฟรานซิส ทัมเบิลตี้เอง
และสุดท้ายได้มีการวิเคราะห์พฤติกรรมของฆาตกร โดยกำหนดเป็นรูปแบบของฆาตกร (Criminal Profile) ไว้ดังนี้
- การเชี่ยวชาญด้านพื้นที่ไม่มีความจำเป็น
- ไม่คิดว่าจะเกี่ยวข้องกับผู้ที่มีความรู้ด้านการแพทย์ เพราะบาดแผลไม่ได้เฉียบคม ลักษณะบาดแผลบ่งบอกว่าฆาตกรมีแค่ความโหดเหี้ยม และมีแรงจูงใจของคนที่ต้องการแก้แค้น
- ฆาตกรจงใจกระทำต่ออวัยวะที่แสดงลักษณะของเพศหญิง และฆาตกรไม่ได้รีบร้อนในการฆ่า และใช้เวลากับการฆ่าเหยื่อ ฆาตกรเกลียดเพศหญิง ใจเย็นไม่ได้ฆ่าจากการระเบิดอารมณ์โกรธหรือความฉุนเฉียว
เมื่อเทียบรูปแบบกับฆาตกรกับผู้ต้องสงสัยแมรี่ เพียร์ซี่สรุปได้ดังนี้
- แมรี่ เพียร์ซี่ ไม่ได้อาศัยย่านจุดเกิดเหตุ ซึ่งตรงนี้ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นฆาตกรได้
- แมรี่ เพียร์ซี่ มีความรู้ทางด้านการแพทย์ แต่การฆาตกรรมโดยแจ๊คเดอะริปเปอร์ไม่จำเป็นต้องทำโดยผู้ที่มีความรู้ด้านการแพทย์
- ไม่มีหลักฐานอะไรบ่งบอกว่าเธอเกลียดเพศหญิง แมรี่ฆ่าด้วยความโกรธเพราะความรัก
เมื่อเทียบรูปแบบกับฆาตกรกับผู้ต้องสงสัยฟรานซิส ทัมเบิลตี้สรุปได้ดังนี้
- ฟรานซิส ทัมเบิลตี้ย้ายมาจากอเมริกาไม่ได้มีความชำนาญในพื้นที่เกิดเหตุ
- ฟรานซิส ทัมเบิลตี้มีความพยายามจะเป็นหมอ เขารู้ว่าอวัยวะแต่ละส่วนอยู่ตรงไหน แต่ไม่ได้มีความชำนาญในการชำแหละ ตรงนี้ตรงกับฆาตกร
- มีการระบุว่าฟรานซิส ทัมเบิลตี้เคยผิดหวังในความรักจากผู้หญิงและมีพฤติกรรมเกลียดผู้หญิง ไม่ชอบกลิ่นของผู้หญิง ตรงนี้ตรงกับฆาตกร
- ฟรานซิส ทัมเบิลตี้มีลักษณะใจเย็น การทำงานของเขามีการไตร่ตรอง ชอบจัดลำดับความสำคัญ
จากโปรไฟล์ของฆาตกรและของฟรานซิส ทัมเบิลตี้นั้นตรงกันทุกข้อ จึงมีความเป็นไปได้ว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์นั้นคือฟรานซิส ทัมเบิลตี้ แต่อย่างไรก็ตามจากหลักฐานต่างๆ ที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ไม่อาจสรุปได้ว่าแจ๊คเดอะริปเปอร์คือเขา เป็นเพียงผู้ต้องสงสัยที่ตรงกับฆาตกรที่สุดเท่านั้น ดังนั้นคดีฆาตกรรมนี้ก็ยังคงเป็นปริศนาต่อไปว่าใครกันแน่คือแจ็คเดอะริปเปอร์ หากไม่ใช่ ฟรานซิส ทัมเบิลตี้ ที่เป็นผู้ต้องสงสัยอันดับ 1 จากการคาดการณ์
ที่มา: megatopic.blogspot.com