บ้านพิษณุโลก อาถรรพ์ที่ไม่มีใครกล้าอยู่
2014-06-17 10:43:59

          หากทำเนียบขาวในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นทั้งบ้านและที่ทำงานของประธานาธิบดีของที่นั่น เมืองไทยเราเองก็มีเช่นกันโดยมีชื่อว่า “บ้านพิษณุโลก” โดยมีชื่อเดิม “บ้านบรรทมสินธุ์” ซึ่งออกแบบโดยชาวอิตาลีมาริโอ ตามานโญ ทว่าทั้งที่เป็นบ้านพักพิงของนายกเหตุใดเราจึงไม่เคยได้ยินหรือเห็นว่านายกฯ ไทยพักที่นี่ล่ะ นั่นอาจจะเป็นที่เรื่องเล่าปากต่อปากก็เป็นได้...

 

 

          โดยเรื่องเล่าของบ้านพิษณุโลกมีอยู่ว่าในสมัยรัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างบ้านให้กับ 2 พี่น้องมหาดเล็กประจำพระองค์

          เจ้าพระยารมราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) – บ้านนรสิงห์
          เจ้าพระยาอนิรุทธเทวา (ม.ล.ฟื้น พึ่งบุญ) – บ้านบรรทมสินธุ์
          ต่อมาทั้ง 2 ท่านทูลเกล้าถวายให้กับรัชกาลที่ 7 เพราะจ่ายค่าบำรุงรักษาไม่ไหว แต่ทรงปฏิเสธ กระทั่งท้ายที่สุดรัฐบาลไทยสมัยจอมพลป. พิบูลสงครามได้ตัดสินใจซื้อไว้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ญี่ปุ่นมาขอซื้อเพื่อใช้เป็นสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย อีกทั้งเพราะเหตุผลทางยุทธศาสตร์ เนื่องเพราะในยุคนั้นคฤหาสน์ทั้งสองอยู่ติดกับกองพันทหารราบที่ 3 
          หลังจากนั้นรัฐบาลก็ใช้บ้านนรสิงห์เป็นทำเนียบรัฐบาล ส่วนบ้านบรรทมสินธุ์ตั้งใจให้เป็นเสมือนสถานที่รับรองแขกเมือง แต่ก็ไม่ค่อยใช้กันมากนัก เลยมีลักษณะเหมือนบ้านร้างและทรุดโทรมลงไปมาก

          ต่อมาพล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ สมัยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปี 2522 มีแนวคิดให้ปรับปรุงซ่อมแซมเป็นบ้านพักประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรีด้วยงบประมาณ 10 ล้านบาท แต่ก็พ้นจากตำแหน่งไปก่อน งานปรับปรุงจึงมาเสร็จในยุคพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ 

 

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์


          ซึ่งพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์เคยเข้าไปพักอยู่เพียง 2 คืน จากนั้นก็ต้องกลับไปนอนที่บ้านสี่เสาเทเวศร์เหมือนเดิม แต่เมื่อสื่อมวลชนไปสัมภาษณ์ พลเอก เฟื่องเฉลย อนิรุทธเทวา ที่เคยพักอาศัยในบ้านหลังนี้ ในสมัยเด็กก็ได้รับการยืนยันว่าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องผีดุแต่อย่างใดทั้งๆ ที่ตนอาศัยอยู่ตั้งแต่เด็กจนหนุ่มจนกระทั่งรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ซื้อบ้านหลังนี้ไป แต่กิตติศัพท์เรื่องผีดุนี้ก็ได้รับการตอกย้ำ จนไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดย้ายเข้าไปพักอย่างเป็นทางการ แม้แต่ พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ยังได้ใช้บ้านหลังนี้เป็นเพียงที่รับแขกเท่านั้น มีเพียงแต่นายกรัฐมนตรีคนสุดท้ายเพียงคนเดียวที่พำนักอยู่ในบ้านหลังนี้ได้นานที่สุดคือ นายชวน หลีกภัย เนื่องจากบ้านพักในซอยหมอเหล็งของนายชวนนั้นค่อนข้างเล็กและคับแคบ ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจึงได้ย้ายเข้ามาพำนักในบ้านพิษณุโลกอย่างเป็นทางการทั้งสองสมัย โดยได้ใช้โซฟาในห้องทำงานซึ่งอยู่ด้านหน้าห้องนอนเป็นที่นอน และไม่ได้มีการใช้เตียงนอนภายในห้องนอนของบ้านแต่อย่างใดเนื่องจากเป็นให้เกียรติเจ้าของบ้าน จึงเป็นที่สงสัยกันว่าเหตุใด นายชวน หลีกภัย พำนักอยู่ในบ้านหลังนี้ได้นานกว่านายกรัฐมนตรีคนอื่นๆและหลังจาก นายชวน หลีกภัย แล้วก็ไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใดใช้บ้านหลังนี้เป็นที่พำนักถึงปัจจุบัน มีเพียงแต่ใช้เป็นที่ประชุมและรับแขกเท่านั้น

          ทว่าเรื่องเล่าก็ยังไม่สิ้นสิ้นซะทีเดียวเมื่อสมัยนายกทักษิณ เพื่อความมีหน้ามีตาของประเทศ  คุณหญิงพจมาน ผู้เป็นภริยาก็ได้นำคนเข้ามาทำความสะอาดของครั้งใหญ่ที่บ้านพิษณุโลก และในระหว่างที่เพลิดเพลินจำเริญใจกับการปัดกวาดเช็ดถูนั่นเอง คนงานหญิงคนหนึ่งก็พลันล้มตัวลงนั่ง โดยที่คนอื่นๆ ลามือจากภารกิจตรงหน้าเพื่อย้ายไปจุดอื่น ทว่าเธอยังคงทำงานต่อไปนั้นคือนั่งถูพื้นอย่างกับโลกนี้ความงามคือพื้นผิว ใครเรียกเธอก็ไม่ตอบและพลางบ่นพึมพำซุ่มเสียงแปลกประหลาดล้ำกลายเป็นคนชรา “อะไรๆ ก็รกหูรกตาไปเสียหมด อะไรๆ ก็สกปรก ไม่ยอมทำความสะอาดกันเลย” การบ่นเช่นนี้เริ่มสร้างความประหลาดใจให้กับคนรอบข้าง หลายคนเริ่มคิดแล้วว่ามีสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งพวกเขาหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลากำลังเผยโฉม เมื่อใครคนหนึ่งตั้งสติได้และเริ่มรู้ถึงความไม่ชอบมาพากลเบื้องหน้า เขาจึงรีบตามตัวนายหญิงทันที

 

คุณหญิงพจมาน

 

          คุณหญิงพจมานหรือคุณหญิงอ้อ ผู้เชื่อในเรื่องเร้นลับเรียกชื่อเด็กสาวอยู่หลายนาน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือความเงียบ ดังนั้นคุณหญิงจึงบอกคนให้ไปเอาน้ำมนต์กับลูกประคำมา เมื่อเสร็จสรรพคล้องประคำ บรรจงจัดป้อนน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีการสบถเล็กน้อย เมื่อคุณหญิงตบหลังอีกครั้ง เธอจึงกลับมาเป็นตัวเธอ และให้การทันทีว่ารู้แจ้งตลอดเวลาว่ากำลังทำสิ่งใดหรือพูดอะไร ทว่าไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลย

          กับอีกหนึ่งคำรบเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นสมัยที่เรามีนายกมาจากเมืองสุพรรณบุรี  โดยท่านมิได้หาญกล้ามาพักอาศัย แต่ใช้เป็นที่ประชุมเหล่าสมาชิกผู้ทรงเกียรติของพรรคท่าน แล้วในระหว่างที่กำลังประชุมอยู่นั้น นายพวงเล็ก บุญเชียง ส.ส.ของพรรคได้ลุกขึ้นยืนก่อนจะกราดนิ้วชี้ไปยังใบหน้าเพื่อนพ้องน้องพี่ทั้งหลายและถามไถ่อย่างคนห่างเหินว่า

 

“พวกแกมาทำอะไรกันที่นี่!"

 

          ดังนั้นสองเหตุการณ์นี้เองที่นักข่าวจากรุ่นสู่รุ่นเล่าขานต่อกันมา ก่อนกระจายความน่าสะพึงสู่วงนอก และเมื่อมีนักข่าวน้องใหม่เดินทางเข้าสู่สายทำเนียบ เมื่อย่างเท้าก้าวเข้าสู่สถานที่ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองแห่งนี้ ผู้นั้นก็จะควานสายตามองหารูปปั้นมาทันที หัวใจพลางกระหวัดถึงตำนานของเสียงม้าตัวนั้น

 

บ้านพิษณุโลกจากภาพถ่ายดาวเทียมกูเกิ้ลเอิร์ธ

 

          ความน่ากลัวที่พอจับต้องได้ก็มีเพียงเท่านี้...กับอาถรรพ์ของบ้านพิษณุโลก บ้านที่นายกฯ ของไทยควรใช้เป็นบ้านพักผ่อน แต่สุดท้ายความน่ากลัวนี้ก็ไม่อาจจะทำให้ใครสามารถอยู่ได้

 

 

ที่มา: tuaytoon.com, th.wikipedi และ baanmaha.com


Admin : Maimai
view
:
11689

Post
:
2014-06-17 10:43:59


ร่วมแสดงความคิดเห็น