ทุกสถานที่เก่าแก่ย่อมมีเรื่องเล่าจากปากต่อปากซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องสยองเกี่ยวกับผีซะมากกว่าเสียด้วยสิ ซึ่งวันนี้ตาโตก็ขอนำท่านสู้เรื่องเล่าความน่าสะพรึงกลัวของสถานที่แห่งหนึ่งที่ทุกๆ คนต้องรู้จักอย่างแน่นอน และสถานที่แห่งนั้นคือ “ทำเนียบรัฐบาล” นั่นเอง
ตึกไทยคู่ฟ้า
ทำเนียบรัฐบาล มีเดิมมีชื่อว่า บ้านนรสิงห์ เจ้าของบ้านหลังนี้ก็คือ เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) โดยได้รับพระราชทานทรัพย์จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ให้มาจัดสร้างอาคารและสิ่งต่างๆ โดยให้ชาวอิตาเลียนซึ่งเป็นผู้ออกแบบสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นผู้สร้าง แต่ยังไม่แล้วเสร็จเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ เสด็จสวรรคต ทำให้การก่อสร้างหยุดชะงัก
เรื่องประวัติการก่อสร้างคงเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว แต่เรื่องที่หลายๆคนไม่เคยรับรู้เลยคือ ความน่าสะพรึงกลัวของสถานที่แห่งนี้ มีเรื่องเล่ากล่าวขานกันมานานของ“ความเงียบ” ที่แฝงอยู่ในความ “เก่าแก่” ทุกพื้นที่บริเวณภายในรั้วและจำนวนอาคารทั้งหมดนี้ ตึกที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็น “ตึกไทยคู่ฟ้า” โดยมีชื่อเดิมว่า “ตึกไกรสร” ด้วยสถาปัตยกรรมเป็น “เวนิเชี่ยนโกธิค” ซึ่งมีรูปแบบอย่างมาจากอาคารวังริมน้ำของเจ้าผู้ครองนครเวนิส
“ตึกนารีสโมสร” เป็นชื่อที่ถูกตั้งขึ้นใหม่ในสมัยที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม เนื่องจากท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมเดิมชื่อ “ตึกพระขรรค์” มีที่มาจากเจ้าพระยารามราฆพเป็นมหาดเล็กผู้เชิญพระแสงขรรค์ชัยศรี หนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 6 ต่อมาในสมัย จอมพลสฤษดิ์ และ จอมพลถนอม ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ตึกบริหาร” แต่ในปัจจุบันใช้เป็นสถานที่แถลงข่าวมาหลายสมัยและที่ทำการสำนักโฆษก สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ตึกนารีสโมสร
ซึ่งเรื่องเล่ากันว่า ตึกนารีสโมสร ในช่วงแรกๆ จอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของประเทศ ได้เคยใช้ห้องหนึ่งภายในตึกเป็นห้องนอนด้วย เนื่องจากท่านต้องทำงานจนมืดค่ำ แต่ไม่เท่านั้นข้าราชการบางคนที่ทำงานอยู่ภายในทำเนียบที่ต้องอยู่เวรดึกก็ได้พบเห็นสิ่งลี้ลับ
อาทิ เห็นเงาที่คาดว่าเป็นผู้ชายแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอปิด แขนยาว ซึ่งเป็นรูปแบบการแต่งกายของขุนนางในสมัยรัชการที่ 6 บ้างก็ว่าช่วงเวลาตีหนึ่งกว่าๆ เคยเห็นถึงขนาดร่างเด็กชายไว้ผมจุก นุ่งจงกระเบน กวักมือเรียกให้มาเล่นด้วยกัน ทำเอาขนลุกซู่ ที่รองลงมาก็เป็นเพียงการได้ยิน เสียงคนเดิน เสียงปิดประตู ก๊อกแก็กต่างๆ
และยิ่งเพิ่มน่ากลัวมากขึ้นในยามค่ำคืนเข้าไปอีกเมื่อย้อนไปครั้งการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ได้เกิดเหตุการณ์ยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่ผู้ชุมนุมบริเวณสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้าจนมีผู้เสียชีวิต พร้อมๆ กันกับการที่การ์ดของพันธมิตรทำคุณไสยระหว่างการชุมนุมภายในทำเนียบที่พบว่าสภาพขององค์ท้าวมหาพรหมบนหลังคาตึกไทยคู่ฟ้าถูกขี้ผึ้งป้ายดวงตาและใช้แผ่นทองคำเปลวปิดทับ หนำซ้ำยังพบร่องรอยการทำพิธีทางไสยศาสตร์ และเครื่องไสยศาสตร์ลึกลับกว่า 10 จุด ซึ่งผู้ดำเนินการคงหวังผลสะกด ข่ม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบ
โดยสิ่งที่พบมีทั้งการนำผ้ายันต์สีดำ มาแปะติดตามอาคารต่างๆ ทั้งตึกบัญชาการ 1-2 ตึกสันติไมตรี ตึกไทยคู่ฟ้า และยังไม่เท่านั้น การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ก็ร่วมปู้ยี่ปู้ยำซ้ำเติมด้วยการสาดเลือด บริเวณประตูทางเข้าต่างๆ รอบทำเนียบ พร้อมทั้งเล่นของเข้าใส่ทำเอา “เสื่อม”กันไปใหญ่
ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามีความสอดคล้องกันของสิ่งลี้ลับที่แฝงอยู่ภายในทำเนียบ ทั้งนี้ไม่มีหลักฐานยืนยันที่บันทึกไว้ได้แน่ชัดว่า ร่างของผู้ชายและเด็กที่พบเห็นนั้นเป็นใครและช่วงที่กลุ่มพันธมิตรชุมนุมทำไมถึงต้องทำไสยศาสตร์ แต่ที่แน่ๆ เป็นที่ยอมรับของข้าราชการทั้งทำเนียบรัฐบาลและผู้สื่อข่าวจากหลายสำนัก พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ขออยู่ค้างคืนแน่นอน
ที่มา: oknation.net