ในครั้งก่อนๆ เราได้พูดถึงเรื่องคำสาปมาเยอะพอสมควร แต่ในวันนี้เราก็จะหยิบยกเรื่องคำสาปมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องของคำสาปประหลาดทั้ง 10 แทน ว่าแต่จะประหลาดกันอย่างไงมาอ่านดูกันดีกว่า
10. Björketorp Runestone
"Björketorp Runestone" เป็นหนึ่งในศิลาจารึกอักษรรูน (เป็นอักษรเยอรมันโบราณที่เกี่ยวข้องกับเวทมนต์ พบทั้งยุโรปตั้งแต่แหลมบอลข่าน เยอรมัน สแกนดิเนเวีย ไปจนถึงอังกฤษ) ที่ค้นพบที่สวีเดนสร้างในราวศตวรรษที่ 6 มีความสูง 4.2 เมตร เมื่อถอดความจารึกออกมาแล้วจะมีความหมายต่อไปนี้
"I, master of the runes(?) conceal here runes of power. Incessantly (plagued by) maleficence, (doomed to) insidious death (is) he who breaks this (monument). I prophesy destruction / prophecy of destruction."
"ข้า...นายแห่งรูน ผนึกอำนาจแห่งรูนไว้ ณที่นี้ มันผู้ซึ่งทำลายอนุสรณ์แห่งนี้ จักพบภัยพิบัติจากความชั่วร้ายพิพากษาให้ถึงแก่ความตายอย่างมีเงื่อนงำ...ข้าขอพยากรณ์ถึงความหายนะ"
ในตำนานท้องถิ่น อักษรรูนส่วนเกี่ยวข้องในการสาปแช่งอย่างมาก เป็นอักษรของพวกไวกิ้ง ที่ใช้ในการร่ายคาถา แต่ละตัวมีความสามารถในการสื่อพลังในแง่ต่างๆต่างกันออกไป พวกไวกิ้งยังใช้ในการสลักสถานที่สำคัญเพื่อสาปแช่งผู้ล่วงล้ำเข้ามาอีกด้วย บรึ้ย!! เล่นเอาหลอนไปตามๆ กันเลย
9. คำสาปแบมบิโน่
มาต่อกันที่ "คำสาปแบมบิโน่" NY Yankees กับ Boston Redsox เป็นทีมเบสบอลชื่อดังเก่าแก่ในอเมริกา ทั้งสองทีมไม่ถูกกันและเป็นคู่แค้นกันมานาน (ประมาณแมนยูกับลิเวอร์พูล)
แต่เมื่อเทียบกับความสำเร็จ Boston Redsox ยิ่งใหญ่กว่า NY Yankees มาก ทั้งด้านผู้เล่น, การเงิน, ผู้ชม และความสำเร็จ เรียกได้ว่าข่มสุดๆ แต่แล้วคำสาปในชื่อ “คำสาปแบมบิโน่” ก็เกิดขึ้นเมื่อทีม Boston Redsox ทำการขายเด็กในทีมชื่อ เบ็บ รูธ (Babe Ruth) ชนิดเรียกว่าหักหลัง แถมขายให้ทีมคู่แค้นอย่าง NY Yankees ในราคาโครตถูก ทำให้เบ๊บ รูนแค้นมาก เขาเลยสาปแช่งว่า
“ขออย่าให้ Red Sox ไม่ได้แชมป์ตลอดกาล!!!”
นับแต่นั้นเป็นต้นมาทีม Boston Red Sox ก็ไม่ได้พบกับความสำเร็จใหญ่ๆ อีกเลย ทั้งๆ ที่เข้าชิงแชมป์หลายครั้ง ก็แพ้กลับไปทุกครั้ง ส่วนทีม NY YanKees นั้นหลังจากได้เบ็บ รูธ ก็ประสบผลสำเร็จเรื่อยมา กวาดแชมป์เป็นว่าเล่น จนกลายเป็นคำสาปที่โด่งดังที่สุดในลีทเบสบอล American League ในที่สุด
กว่าที่คำสาปจะคลายลงได้ก็ผ่านไปนานถึง 56 ปีเต็ม จนกระทั้งถึงปี 2004 พวกเขาก็ทำได้สำเร็จได้แชมป์จนได้ แถมทีมที่พวกเขาชนะก็เป็นคู่แค้นเก่านั้นก็คือ NY Yankees นั้นเอง
8. คำสาปวัฏจักรหมายเลข 0
"คำสาปวัฏจักรหมายเลข 0 " ซึ่งหมายถึงหากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนไหนได้รับเลือกตั้งในปีที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องมีอันตายในระหว่างดำรงตำแหน่ง
โดยคำสาปนี้มีที่มาจาก สงครามเมื่อปี ค.ศ.1811 ระหว่างเผ่าซอว์นีและคนขาวที่นำโดยวิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน (William Heney Harrison) ขณะนั้นดำรงตำแหน่งผู้ว่าการรัฐอินเดียน่า ที่ออกนโยบายให้คนขาวที่มาบุกรุก แย่งชิง ฆ่าฟันชาวอินเดียแดงแถบนั้น จนเป็นเหตุให้หัวหน้าเผ่าเผ่าชอว์นี ที่ชื่อว่า เทคุมเซ่ (Tecumseh) แค้นมาก และได้ทำการสาปแช่ง วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน และประธานาธิปดีสหรัฐฯ จงมีอันเป็นไปทุกคน ตราบนานเท่านาน
จากนั้นคำสาปก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อวิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สันชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิปดีอเมริกาเมื่อปี 1840 แต่หลังจากนั้นเขาก็เสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมในขณะรับตำแหน่งเพียง 1 ปี เท่านั้น จากนั้นเป็นต้นมา ประธานาธิปดีที่รับตำแหน่งในปีที่ลงท้ายเลข 0 ล้วนมีอันเป็นไปและส่วนใหญ่ล้วนไม่ตายดีทั้งสิ้น ต่อจาก วิลเลียม เฮนรี่ แฮรร์สัน ก็เป็น
- อัลบราฮัม ลินคอล์น (Abraham Lincoln) รับตำแหน่ง 1860 ถูกลอบสังหารเมื่อปี 1865
- เจมส์ เอ. การ์ฟิลด์ (James A. Garfield) รับตำแหน่ง 1880 ถูกลอบสังหารเมื่อปี 1881
- วิลเลียม แม็กคินลีย์ (William McKinley)รับตำแหน่ง 1900 ถูกลอบสังหารเมื่อปี 1901
- วอร์เรน จี. ฮาร์ดิงก์ (Warren G. Harding ) รับตำแหน่ง 1920 หัวใจล้มเหลว เมื่อปี 1923
- แฟรงกลิน ดี. รูสเวลต์ (Franklin D. Roosevelt) รับตำแหน่ง 1940 เส้นเลือดในสมองแตกตาย เมื่อ ปี 1945
- และจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ (John F. Kennedy)ถูกลอบสังหาร เมื่อปี 1963
คำสาปนี้มีผลเรื่อยมายาวนานถึง 120 เวลากว่า 120 ปี จนกระทั้งเสื่อมลง ในสมัยประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ( Ronald Reagan ) ที่ได้รับการเลือกตั้งมาในปี 1980 ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ถูกลอบยิงในเดือนมีนาคม 1981 ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่ในที่สุดเขาก็รอดชีวิต และรอดพ้นคำสาปมาได้
7. คำสาปซุปเปอร์แมน
ซึ่งเป็นของใครไปไม่ได้เสียจาก "คำสาปซุปเปอร์แมน" เชื่อว่าหลายคนคงรู้จักกันเป็นอย่างดี บางคนก็เคยได้ยินแว่วๆมา คำสาปที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ซูเปอร์แมน ที่ส่วนสาเหตุของคำสาปน่าจะมาจากคนแต่งการ์ตูนเรื่องซูเปอร์แมนคือโจ ชัสเตอร์(Joe Shuster) และเจอร์รี่ ซีเกล(Jerry Siegel) ที่สองคนโกรธแค้นไม่พอใจที่สำนักพิมพ์ DC ทำเปรียบพวกเขา เมื่อทำกำไรจากการ์ตูนเรื่องนี้เป็นจำนวนมหาศาล จึงสาปแช่งเอาไว้ว่าใครที่เอาผลงานของเขามาสร้างหนังเป็นอันต้องเคราะห์ร้าย ไม่ว่าจะเป็น ดาราผู้รับบทซุปเปอร์แมน ดาราผู้ร่วมแสดง หรือแม้กระทั่งบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ซุปเปอร์แมน
เริ่มจาก เคิร์ค เอลิน ดาราคนแรกที่รับบทซุปเปอร์แมนในภาพยนตร์ กลายเป็นดาราตกอับไม่มีใครจ้างและเสียชีวิตด้วยโรคเรื้อรังในเวลาต่อมา แล้วคนต่อมาที่แสดงเป็นซุปเปอร์แมนคือจอร์จ รีฟส์ (George Reeves) เป็นดาราคนต่อมาที่รับบทซูเปอร์แมนก็เสียชีวิตอยู่ภายในห้องนอนในบ้าน โดยมีบาดแผลถูกยิงที่ศีรษะ 1 นัด
ต่อมาก็ถึงคิวของซุปเปอร์แมน คริสโตเฟอร์ รีฟ (Christopher Reeve) แต่ก็โชคร้ายเขาประสบอุบัติเหตุจากการขี่ม้าในปี ค.ศ.1995 ทำให้ต้องกลายเป็นอัมพาตนับแต่นั้น ตราบจนกระทั่งเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวายในปี ค.ศ. 2004 ด้วยวัยเพียงแค่ 52 ปี
คำสาปนี้ดำเนินมาจนกระทั่งในปัจจุบัน นักแสดงหลายคนต่างปฏิเสธจะรับบทซูเปอร์แมนมากมาย อีกทั้งเคราะห์ร้ายที่เกิดขึ้นกับบรรดาคนที่เกี่ยวข้องกับภาพยนตร์ ซุปเปอร์แมนก็ยังคงไม่ ยุติ เพราะมีรายงานว่าทีมสร้างภาพยนตร์ซูเปอร์แมนเรื่องใหม่ล่าสุด คือซุปเปอร์แมน รีเทิร์นส์ ก็ล้วนเจอเรื่องเจ็บตัวไปตามๆ กัน ผู้เคราะห์ร้ายก็มีร็อบ เบอร์เน็ทท์ ผู้อำนวยการสร้าง ซึ่งถูกพวกหัวขโมย รุมทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส, อดัม โรบิเทล ผู้มีหน้าที่ตัดต่อภาพยนตร์ ประสบอุบัติเหตุตกทะลุหน้าต่างและถูกเศษกระจกทิ่มทะลุปอด รวมทั้งได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง และทอดด์ สแตนลีย์ ซึ่งเป็นทั้งผู้ช่วยผู้อำนวยการสร้างและตากล้องก็ตกบันไดบาดเจ็บถึงขนาดกะโหลกศีรษะร้าวและนิ้วก้อยฉีก ฯลฯ
จนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ยังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่คอยเฝ้าติดตามว่าจะมีเรื่องราวทำนองนี้เกิดขึ้นอีกหรือไม่ในอนาคต ที่สำคัญคือ พวกเขากำลังเฝ้าดูว่า ซุปเปอร์แมนคนใหม่จะสามารถหลุดพ้นจากคำสาปนี้ได้หรือไม่! ซึ่งเหมือนเขาจะหลุดพ้นแล้วจากภาพยนตร์ชุดใหม่ของซุปเปอร์แมนที่ผ่านมา
6. คำสาปแพะ
อันดับที่ 6 ได้แก่ คำสาปแพะ เป็นคำสาปที่เกิดขึ้นกับอเมริกาชิคาโก คับส์ (Chicago Cubs) ซึ่งทีมเบสบอลชื่อดังของอเมริกา มีจุดเริ่มต้นในปี ค.ศ.1945
เรื่องเกิดขึ้นเมื่อ ชาวกรีกอพยพคนหนึ่ง นามว่า บิลลี่ เซียนิส(Billy Sianis) ได้ซื้อตั๋วในราคา7.20 ดอลลาส์ (คงจะเป็นชั้นที่นั่งดีสมควร) เข้ามาดูเกมส์การแข่งขันเวิลด์ซี่รี่ส์รอบที่4 ระหว่าง ชิคาโก คับส์ กับ ดีทรอยท์ ไทเกอร์ และในตอนนั้นเขาก็นำสัตว์เลี้ยงสุดที่รักของเขา(แพะ)ชื่อว่าเมอร์ฟี่(Murphy) หรืออีกชื่อคือ ซิโนเวีย (Sinovia) ไปดูเกมนั้นด้วยกัน แพะตัวนั้นมีผ้าห่มคลุมประโยคเขียนเอาไว้ว่า
"แพะของดีทรอยท์อยู่กับเราแล้ว"
เซียนิสกับแพะของเขาก็ได้รับอนุญาติให้เดินลงมาแห่ขบวนในสนามวริกเล่ย์ก่อนการแข่งขันจะเริ่ม แต่หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ได้เชิญเขาออกจากนอกสนาม หลังจากโต้เถียงกันสักพัก ทั้งเซียนิสและแพะของเขาก็ยินยอมที่จะกลับไปนั่งกับที่เหมือนเดิม แต่ทว่าก่อนการแข่งขันจะจบลง เซียนิสกับแพะก็ถูกขับไล่ออกจากสนามกีฬาตามคำสั่งของเจ้าของทีมชิคาโก คับส์ "ฟิลิป ไนท์ วริกเลย์(Philip Knight Wrigley)" ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาเหม็นกลิ่นสาบเจ้าแพะตัวนี้ ทำให้เซียนิสโกรธมาก จึงสาปแช่งว่า
“ขอให้ทีมชิคาโก คับส์ไม่ชนะอีกต่อไป”
และผลของคำสาปก็ประเดิมด้วยการแข่งขันวันนั้นเลย โดยทำให้เกมส์ในรอบนั้น ชิคาโก คับส์ได้พ่ายแพ้ไป หลังจากนั้นเซียนิสก็ได้เขียนจดหมายจากประเทศกรีกถึง วริกเลย์ ว่า
"คราวนี้ใครกันล่ะที่เน่าเหม็น?"
หลังจากนั้นเป็นต้นมาทีมชิคาโก คับส์ก็ไม่เคยได้รับความสำเร็จใดๆ เลย และตกต่ำเรื่อยมา จนได้ตกชั้นไปเล่นในดิวิชั่น 2 นานติดต่อกันถึง20ปี! และคำสาปได้มาสิ้นสุดในปี ค.ศ.1967 ถัดมาอีกปี ลีโอ ดูโรเชอร์ ก็ได้มาเป็นผู้จัดการของทีมนี้แทน
ปัจจุบันแน่นอนครับพวกชิคาโก คับส์ได้รู้ซึ่งคำสาปนี้เป็นอย่างดี จนมีประเพณีเลยครับว่าเวลาจะแข่งเวิลด์ซี่รี่ส์จะต้องอนุญาตให้แพะมานั่งดูด้วย (มีที่สำหรับแพะด้วยเฉพาะ) และห้ามด่าแพะไม่งั้นคำสาปจะถามหา
5. ปอร์เช่ของ เจมส์ ดีน
เจมส์ ดีน ดาราที่โด่งดังในยุคนั้น ได้รับอุบัติเหตุจากการขับรถปอร์เช่ 550 สไปร์เดอร์ รถคันโปรดของเขา คนขับคือช่างยนต์ของเขา 'รอล์ฟ วูเทอริช แต่เจมส์ ดีน ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา แต่คนขับรอดแต่ก็มาเสียชีวิตในเวลาต่อมาจากอุบัติเหตุเช่นกัน
และหลังจากเจมส์ดีนเสียชีวิต รถ ปอร์เช่ 550 สไปร์เดอร์ (ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นรถที่รู้จักกันทั่วโลกว่าเป็นรถของเจมส์ ดีน) ถูกนำนำมาซ่อมใหม่ และขายต่อเป็นทอดๆ และเจ้าของที่ได้รถคนนั้นไปก็ประสบชะตากรรมที่เคราะห์ร้ายต่างๆ นาๆ จนหลายๆ คนเชื่อว่ามันเป็นรถอาถรรพ์ เพราะเจมส์ดีนห่วงรถคนนี้มากๆ
รายแรกคือนาย จอร์จ (George Barris) ซึ่งเป็นผู้ปรับแต่งรถแข่งคันนี้ ซื้อซากรถในราคา $ 2,500 หายนะก็เกิดขึ้นเมื่อในขณะที่ตรวจสอบสภาพอยู่นั้น จู่ ๆ ชิ้นส่วนของเครื่องยนต์อันหนักอึ้งก็หล่นลงมาทับขาของช่างซ่อมคนนั้น จนกระดูกขาแหลกละเอียดทั้ง 2 ข้าง
ต่อมาสองนายแพทย์ทรอย แม็คอองรี(Troy McHenry) และวิลเลียม (William Eschid) ที่ได้ซื้อชิ้นส่วนเครื่องยนต์จากรถมรณะคันนี้ไปใส่ในรถแข่งของเขา ต่อมาพวก เค้าก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างแข่งขัน สาเหตุเกิดจากการที่รถยนต์ของเขาควบคุมไม่ได้ แล้วมันก็พุ่งเข้าชนรถแข่งคันอื่น ๆ จนเหตุให้แม็คอองรีตาย
จากนั้นหลังจากโศกนาฎกรรมครั้งนี้
ตำรวจทางหลวง California Highway Patrol ได้ขอยืมซากรถคันนี้เพื่อไปใช้ในการรณรงค์การลดอุบัติเหตุบนทางหลวง ในช่วงปี 1958-1959 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จมากนัก เพราะมีอุปสรรคที่คาดไม่ถึงบ่อยครั้งเช่น ซากรถได้เลื่อนไถลไปทับเด็กนักเรียนในระหว่างการขนย้ายที่โรงเรียนใน Sacramento
และท้ายที่สุดในปี 1960 หลังจากที่ตำรวจทางหลวงแคลิฟอร์เนียส่งซากรถ Little Bastard กลับคืนให้เจ้าของคือ George Barris ที่ลอสแองเจลีส และก็ปล่อยทิ้งเจ้ารถมรณะไว้ไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยวอีกจนกระทั่งปี 1960 ซากรถมรณะก็หายไปอย่างลึกลับไม่มีผู้ใดพบเห็นอีกเลยจนปัจจุบัน
4. คำสาปเคนเนดี้
อันดับที่ 4 ได้แก่ คำสาปเคนเนดี้ ตระกูลเคนนาดีเดิมที่เป็น เชื้อสายไอริชแคธอลิกอพยพมาในสหรัฐฯ โดยผู้นำครอบครัวคือ โจเซฟ แพทริก เคนเนดี และเมื่อตั้งรากฐานได้ ตระกูลเคนนาดี้ก็สร้างฐานะปึกแผ่น จนเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในอเมริกา ซึ่งภายหลังเขาได้รับแต่งตั้งเป็น คหบดีใหญ่ และเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำอังกฤษ แต่ความร่ำรวยและอำนาจนั้นแลกมาด้วยคำสาปแช่ง….
เมื่อบริเวณที่ตั้งรกรากของครอบครัวเคนเนดี้ นั้นดันไปทับการแหล่งทำมาหากินของพวกอินเดียแดง พวกเขาไม่พอใจกับการกระทำของพวกเคนเนดี้ในครั้งนี้ พวกเขาจึงได้กล่าวคำสาปแช่งที่น่ากลัวต่อตระกูลเคนเนดี...ว่า
"ข้าขอสาปแช่งตระกูลแก ตระกูลแกจะไม่มีวันสงบสุข ครอบครัวของแกจะต้องตายก่อนอายุขัย แม้แต่ทรัพย์สินและอำนาจของแก ไม่มีวันช่วยพวกแกได้ ตราบชั่วลูก ชั่วหลาน"
นับแต่นั้นเป็นต้นมาคนในตระกูลเคนนาดี้ล้วนประสบเคราะห์ร้ายแทบทั้งสิ้น บางคนก็รอดตายอย่างหวุดหวิด บางคนก็มีอันเป็นไปอย่างน่าสยดสยอง ไล่ตั้งแต่
ปีค.ศ.1941 "โรสแมรี่ เคนเนดี้" ลูกสาวคนโตของโจเซฟและโรส เคนเนดี้ ที่มีปัญหาทางด้านสุขภาพจิต ต้องถูกนำตัวไปพักรักษาในโรงพยาบาลตลอดชีวิต และเพิ่งเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 2005 ที่ผ่านมา
ค.ศ.1944 "โจเซฟ เคนเนดี้ จูเนียร์" ลูกคนโตของครอบครัว เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 29 ปี ในอุบัติเหตุเครื่องบินในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 , ค.ศ.1948 "แคธลีน เคนเนดี้ คาเวนดิช" ลูกคนที่สี่ของครอบครัวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกในประเทศฝรั่งเศส ขณะมีอายุได้ 28 ปี
ค.ศ.1963 "ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้" ถูกลอบสังหาร (โดนคำสาปซ้อนคำสาปเลยนะท่าน)
ค.ศ.1964 "วุฒิสมาชิกเอ็ดเวิร์ด เคนเนดี้" ลูกคนเล็กของครอบครัว รอดชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก
ค.ศ.1968 "วุฒิสมาชิกโรเบิร์ต เคนเนดี้" ขณะมีอายุได้ 42 ปี, ค.ศ.1969 "วุฒิสมาชิกเอ็ดเวิร์ด เคนเนดี้" รอดชีวิตจากอุบัติเหตุขับรถยนต์ตกสะพานในมลรัฐแมสซาชูเซตส์
ค.ศ.1984 "เดวิด เคนเนดี้" ลูกชายของโรเบิร์ต เคนเนดี้ เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดในวัย 28 ปี
ค.ศ.1997 "ไมเคิล เคนเนดี้" ลูกชายอีกคนหนึ่งของโรเบิร์ต เคนเนดี้ เสียชีวิตจากอุบัติเหตุขณะเล่นสกีที่มลรัฐโคโลราโด ขณะมีอายุ 39 ปี
ค.ศ.1999 "จอห์น เคนเนดี้ จูเนียร์" บุตรชายของอดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคนเนดี้ รวมทั้งภรรยาและพี่สะใภ้ ได้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินส่วนตัวตกที่มลรัฐแมสซาชูเซตส์
และ 2009 วุฒิสมาชิกเอ็ดเวิร์ด เคนเนดี้ เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และรายล่าสุดคือ แมรี่ เคนเนดี้ ภรรยาของโรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี้ จูเนียร์ ลูกชายของอดีตวุฒิสมาชิก โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี้ น้องชายอดีตประธานาธิบดี จอห์น เอฟ เคนเนดี้ ฆ่าตัวตายเมื่อ พ.ค 2555 ที่ผ่านมา ทำให้หลายคนเริ่มจะเชื่อแล้วถึงคำสาปของอินเดียนแดง
3. เพชรโฮป
อันดับที่ 3 ได้แก่ เพชรโฮป หรือโฮปไดอามอนด์ เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต มีที่มา ต้นกำเนิด จากไหน ไม่มีใครทราบ แต่มัน ปรากฏตัวเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในปี 1660
ว่ากันว่า เพชรโฮปมาจากดวงตาของเทวรูปในวัดริมแม่น้ำโคเลอรูน (Coleroon) ในอินเดีย ซึ่งถูกขุดพบในเหมืองคอลเลอร์ (Kollur mine) ในกอลคอนดา ของเทวรูปนางสีดาซึ่งเป็นชายาของพระวิษณุที่ชาวอินเดียเคารพนับถืออย่างสูงแปลงลงมาจุติ ทำให้เทพเจ้าไม่พอพระทัยและสาปแช่งมนุษย์ผู้ใดก็ตามที่บังอาจครอบครองสมบัติชิ้นนี้ต้องโชคร้ายและไม่ได้ตายดี และก็เป็นไปตามคำสาป
โดยผู้ที่มีเสียงหลายคนที่ครอบครองเพชรเม็ดนี้ล้วนประสบหายนะทุกครั้งไป ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้ทำให้ราชวงศ์ฝรั่งเศสก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจากการปฏิวัติของฝรั่งเศสตลอด กระทั่งนาย เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป (เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์ (พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี) ฯลฯ ล้วนประสบกับอัปมงคล
ผู้ครอบครองเพชรโฮปคนต่อมาคือ เอวาลีน วอลซ์ แมคลีน (Evalyn Walsh Mclean) ไฮโซสาวที่มักสวมสร้อยคอเพชรโฮป ไปงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน
จนในที่สุด เจ้าของที่ซื้อเพชรโฮปคนสุดท้ายได้มอบให้แก่สถาบันสมิธโซเนียน(Smithsonian Institute) ในกรุงวอชิงตัน ดีซี โดยส่งเพชรโฮปให้กับพิพิธพันธ์ด้วยการใส่ซองส่งไปทางพัสดุไปรษณีย์ธรรมดา โดยจ่ายค่าประกันเป็นเงินเพียง 160 ดอลล่าร์ ซึ่งดูเหมือนว่าคำสาปแช่งจะยุติอยู่เพียงแค่นั้น
อย่างไรก็ตามมีจดหมายที่ส่งมาอย่างพิพิธภัณฑ์ฉบับหนึ่งเขียนไว้ว่า “ประเทศชาติกำลังจะแหลกไม่มีชิ้นดียู่แล้ว นับตั้งแต่วันที่เพชรเม็ดนี้ มาไว้ที่สถาบันสมิธโซเนียน”
2. 27 CLUB สุสานของฮีโร่
คลับ 27 คือ ผลิตผลของวัฒนธรรมสมัยนิยมใหม่ (pop culture) อันเกิดจากโลกสื่อสารไร้พรมแดน ที่ส่งผลตรงต่อกระแสความนิยมร่วม เป็นรูปแบบของความต้องการ การใช้ชีวิต ความคิด ทัศนคติ ของผู้คนในโลกที่มีความพึงใจรวมศูนย์เป็นขนบหมู่ร่วมกัน
ในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง คลับ 27 คือ นิยามจารึกชื่อของนักดนตรีกลุ่มหนึ่งให้เป็นตำนานวีรบุรุษนักร้องในรูปลักษณ์ของดาราร็อก และบลูส์ อันอมตะรุ่งโรจน์นิรันดร์ ตามกระแสวัฒนธรรมป๊อป คัลเจอร์ ในศตวรรษที่ 20 พวกเขาจบชีวิตไปก่อนวัยอันควรแค่ 27 ปี อย่างไม่น่าเชื่อ และบางแนวคิดก็ว่าแฝงเรื่องลี้ลับพิสดารเข้าไปด้วย
เหตุนี้จึงทำให้เขาเหล่านั้นคงชื่อเสียง มีความอมตะ ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของแฟนๆ อย่างไม่ลืมเลือนตลอดไป ต่อสถานะวีรบุรุษ บุคคลเหล่านี้คือไอดอล ผู้อยู่ในใจชาวร็อกตลอดกาล หากแต่โชคชะตา หรือฟ้าลิขิตเส้นทางให้พวกเขาต่างต้องหยุดความโด่งดังไว้แค่ช่วงรุ่งโรจน์เพียงน้อยนิด
ทั้ง ไบรอัน โจนส์ อดีตสมาชิกเริ่มแรก ผู้ก่อตั้งวงโรลลิ่ง สโตนส์ วงร็อกตำนานที่ยังมีลมหายใจอยู่ตราบปัจจุบัน กล่าวกันว่าโจนส์สามารถเรียนรู้เครื่องดนตรีทุกประเภทได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง เพียงแค่แรกหยิบและจับเครื่องดนตรีชิ้นนั้นขึ้นมา ก็เล่นได้ราวกับอัจฉริยะผู้สวรรค์สรรมาโดยแท้ ต่อสถานะตัวหลักของวงและประกายไอดอลแห่งยุคที่เริ่มรุ่งโรจน์สุดขีด
จิมมี เฮนดริกซ์ เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นเทพเจ้ามือกีตาร์ของชาวอเมริกัน หนึ่งในกีตาริสต์สไตล์บลูส์ร็อกยอดเยี่ยมตลอดการของโลก เท่าที่เคยได้รับการยอมรับจากวงการจากอดีตถึงยุคปัจจุบัน อัจฉริยภาพการเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงของเขา
ถัดมาศิลปินรูปหล่อระดับเทพบุตรตำนานแห่งวง เดอะ ดอร์ส์ ด้วยวัยที่กำลังรุ่งเรือง จิม มอร์ริสัน เสียชีวิตที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 1971 สาเหตุการเสียชีวิตนั้น ว่ากันว่ามาจากอาการหัวใจล้มเหลว แต่ก็ไม่มีการชันสูตรศพ ยังความเคลือบแคลงแก่วงการยิ่ง แม้เขาจะเสียชีวิต
ส่วน เคิร์ท โคเบน เทพบุตรกรันซ์สตาร์ผู้ กำลังรุ่งโรจน์ชื่อเสียงอันโด่งดังกำลังถึงจุดสูงสุดในอาชีพนักดนตรี เสียชีวิตเมื่อปี 1994 บางกระแสข่าวลือกันว่า โคเบน เคยบ่นปรารภกับน้องสาวว่าเขาอยากเข้าร่วมเป็นสมาชิกคลับอมตะนิรันดร์ 27 เช่นกัน จึงตัดสินใจจบตำนานด้วยการยิงตัวตาย เมื่อวันที่ 8 เมษายน 1994 โคเบนเป็นผู้ก่อตั้ง นักร้อง-นักแต่งเพลง-มือกีตาร์ของวงเนอร์วานา ผู้คิดค้นสำเนียงแปลกใหม่ และมีอิทธิพลอย่างมากในรูปแบบดนตรีช่วงทศวรรษ 90
เป็นที่น่าแปลกใจและเป็นที่ถกเถียงแบบชวนฉงนสนเท่ ว่าทำไมนักดนตรีผู้มีชื่อเสียงเหล่านี้ ต้องมาเสียชีวิตยามอายุ 27 ปีไปนานแล้ว แต่ผลงานของเขาที่ร่วมงานกับวงเดอะ ดอร์ส์ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักดนตรีในทุกยุคทุกสมัย ถ้าจะว่ากันเรื่องเหมือนมีอาถรรพ์เลข 27 ผู้เป็นต้นตำรับ ก็จะเริ่มมาตั้งแต่
ตำนานคนแรก โรเบิร์ต จอห์นสัน ศิลปินอเมริกัน บลูส์ ผู้โด่งดังหาใครเทียม (1936-1937) พระเจ้าประทานพรสวรรค์ ทักษะด้านร้อง บรรเลงกีตาร์ และการเขียนเพลงแบบมหัศจรรย์ ผลงานของเขาเป็นแบบอย่างและมีอิทธิพลต่อนักดนตรีในรุ่นหลังๆ อย่าง มัดดี้ วอเตอร์ส์, บ๊อบ ดิแลน, จิมมี เฮนดริกซ์, เลด เซพลิน, เจฟฟ์ เบ็ค, เอริค แคล็ปตัน จนกระทั่งถึง เดอะ โรลลิ่ง สโตนส์ ฯลฯ สาเหตุการเสียชีวิตของโรเบิร์ต จอห์นสันนั้นไม่เป็นที่สรุปแน่ชัด แต่ว่ากันว่าโดนยาพิษ เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 1938 ขณะอายุได้ 27 ปี ตำนานในภาพยนตร์ “ครอสส์โรด”ว่า โรเบิร์ต จอห์นสัน ได้ขายวิญญาณให้ซาตานด้วยด้วยการแลกชีวิตต่อการได้มาซึ่งทักษะฝีมือและพรสวรรค์ทางด้านดนตรี อันหาใช่พรสวรรค์จากพระเจ้าประทานไม่ เมื่อซาตานมาทวงสัญญา จึงต้องจากไปในวัยเพียง 27 ปี เท่านั้น
1. คำสาปสุสานฟาโรห์ตุตันคามุน
มาถึงคำสาปสุดยอดประหลาดนั้นคือ "คำสาปสุสานฟาโรห์ตุตันคามุน " ฟาโรห์ตุตันคามุน (Tutankhamun) หรือ ตุตันคาเมน เป็นฟาโรห์องค์ที่ 12 ในราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณ ครองราชย์ในช่วงระหว่าง 1,325 – 1,334 ปีก่อนคริสตกาล
และเนื่องจากพระองค์ทรงครองราชย์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 9 ปี และสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่ยังมีพระชนมายุไม่ ครบ 19 ชันษา อีกทั้งยังไม่มีองค์รัชทายาท ทำให้มีการสร้างสุสานถวายแบบง่าย ๆ ราวสองร้อยปีต่อมา มีการสร้างสุสานของ ฟาโรห์ราม เสสที่ 6 ทับลงบนสุสานของฟาโรห์ตุตันคามุน เนื่องจากคนงานเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสุสานของบุคคลธรรมดา จึงทำให้สุสานของฟาโรห์ตุตันคามุนถูกเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัย และนับเป็นสุสานที่ยังคงความสมบูรณ์ไว้มากที่สุด
แต่แล้วในปี 1922 ลอร์ด คาร์นาร์วอน ได้ว่าจ้างคณะสำรวจของนายโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ เข้าไปทำการสำรวจค้นหาสุสานฟาโรห์ตุตันคามุนในหุบผากษัตริย์ เมืองลักซอร์ โดยคาร์เตอร์ใช้เวลาถึง 10 ปี ในการค้นหาสุสาน ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบห้องเก็บพระศพ และโลงพระศพของฟาโรห์ตุตันคามุนที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ รวมทั้งทรัพย์สมบัติและเพชรนิลจินดาอีกมากมาย
นักสำรวจทุกคนล้วนตื่นเต้นดีใจกับการค้นพบ ทำให้ละเลยคำสาปที่นักบวชไอยคุปต์บรรจงสลักไว้ภายในสุสาน
“มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์”
ข้อความที่ขลังและเปี่ยมด้วยอาถรรพ์นี้ ก่อให่เกิดการ ตายอย่างน่าพิศวง ซึ่งเป็นที่เล่าลือกันว่าเกิดจากคำสาปแช่งขององค์ฟาโรห์ ลอร์ด คาร์นาร์วอนเสียชีวิตอย่างกะทันหันภายในห้องพัก ของโรงแรมในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ สาเหตุการตายเนื่องจากถูกยุงกัด ทำให้เป็นนิวมอเนีย แต่ที่น่าประหลาดอย่างยิ่งก็คือ ที่มัมมี่ของ
ฟาโรห์ตุตันคามุนก็มีรอยยุงกัดที่แก้มซ้าย ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ลอร์ดคาร์นาร์วอนถูกยุงกัดเช่นกัน
ภายในเวลา 6 ปีที่มีการขุดสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมน ผุ้ที่ได้ร่วมขุดค้นล้มตายไปถึง 12 คน โดยส่วนใหญ่มีอาการเหนื่อยอ่อนและเสียชีวิตไปเฉยๆโดยที่แพทย์ไม่สามารถ วินิจฉัยอาการได้ และภายในระยะเวลา 7 ปี มีผู้ที่ร่วมในการขุดสุสานฟาโรห์ตุตันคามุนรอดชีวิตอยู่เพียง 2 คนเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมี บุคคลใกล้ชิดของผู้ที่ร่วมขุดสุสานจำนวนถึง 22 คน ได้ถึงแก่กรรมไปทั้งที่ยังไม่สมควรแก่เวลา และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ เลดี้คาร์นาร์ วอน ภรรยาของลอร์ด คาร์นาร์วอนที่ฆ่าตัวตายเนื่องจากเกิดอาการเสียสติ
ที่มา: webboard.sanook.com