สวัสดีค่ะทุกคน หลังจากที่ได้ติดตามบอร์ดพันทิพมานาน ในที่สุดก็ได้มีโอกาสตั้งกระทู้แชร์ประสบการณ์เรื่องจริง(ที่ยิ่งกว่านิยาย)ที่ได้เจอมากับตัวเอง แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นได้หลายปีแล้วค่ะ ขอยืนยันว่าทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องจริง ก่อนจะเล่าเรื่องอดีต ขอพูดถึงปัจจุบันก่อนนะคะ เราชื่อ พีช ค่ะ เป็นผู้หญิงวัย 26 ปี ทำอาชีพเป็นคอลัมน์นิสประจำนิตยสารหลายฉบับ และอาชีพประจำอีกหนึ่งอาชีพก็คือ “แม่ของลูกชายที่น่ารักวัย 8 ขวบค่ะ" ทุกคนอาจจะสงสัยนะคะ ว่าเพิ่งอายุ 26 แต่มีลูกโตขนาดนี้แล้ว ? ใช่ค่ะ พีชมีลูกตั้งแต่อายุ 18 เพิ่งจบไฮสคูลก็ดันมาป่องก่อนซะแล้ว
รูปน้องไอวี่
ซึ่งนั่นถือว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพีชในตอนนั้น ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดค่ะ ตั้งแต่ที่รู้ว่าเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไป แต่มีเด็กชายตัวน้อยๆที่ขึ้นชื่อว่าเป็นลูกของเราอยู่ในท้อง ที่บอกว่าเปลี่ยนไปทุกอย่าง ก็คือทุกๆอย่างจริงๆนะคะ เรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลา 3 ปี มันทำให้ชีวิตหนึ่งชีวิตเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้ เรื่องราวที่พีชได้เจอมากับตัวเอง ทำให้ไม่ว่าจะอ่านนิยาย ดูละคร ดูซีรีห์เรื่องไหนๆก็ไม่อินอีกต่อไปเลยค่ะ เพราะชีวิตของพีช มันยิ่งกว่านิยายเล่มไหนๆ ละครเรื่องใดๆเลยล่ะค่ะ
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว…เมื่อตอนเราอายุได้ 13 ปี พ่อกับแม่ของเราแยกทางกันอย่างถาวร หลังจากที่แยกกันอยู่มาได้ปีนึง ซึ่งการหย่าร้างกันของพ่อกับแม่ก็ไม่ได้ทำให้เราเสียใจมากมาย เพราะก็ต่างรู้อยู่แล้วว่าสักวันก็ต้องมีวันนี้ เรามีพี่สาวคนนึงค่ะ ชื่อพี่แพท อายุห่างกับเรา 4 ปี แต่สนิทกันมาก เพราะพ่อกับแม่ต่างทำงานไม่ค่อยมีเวลาสนใจ ดูแลเราสองคนพี่น้องมากเท่าไร จึงจำเป็นต้องดูแลกันเอง
แต่พอพ่อกับแม่หย่ากัน พวกเขาตกลงกันว่าจะแยกเรากับพี่แพทให้อยุ่คนละบ้าน พ่อตกลงจะเอาพี่แพทไปเลี้ยงดู ส่วนแม่ตกลงที่จะเอาเราไปเลี้ยง ทั้งเราและพี่แพทเสียใจมากค่ะที่ต้องแยกกัน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แม่พาเรามาอยู่ที่บ้านยายที่ต่างจังหวัด โดยที่พี่แพทก็อยู่บ้านเดิมในกรุงเทพ ซึ่งเมื่อเรามาอยู่บ้านยาย ก็เพิ่งได้รู้ว่า ความจริงแม่เรามีแฟนใหม่ค่ะ เป็นชาวฝรั่งเศส ค่อนข้างมีอายุ แต่ดูใจดี ดูจะรักแม่ฉันจริง ๆ แล้วก็ใจดีกับเรามาก เราก็ไม่ได้ท้วงอะไร เพราะตอนเด็กๆจะเป็นคนนิ่งค่ะ ไม่เถียง ยอม ค่อนข้างเก็บกดเลยค่ะ มีผลมาจากที่พ่อแม่ทะเลาะกันให้เห็นบ่อยๆในช่วงเด็ก เหมือนเด็กบ้านแตก
เราอยู่บ้านยายไปได้ประมาณ3เดือน โดยช่วงนั้นเป็นช่วงปิดเทอม แม่ก็มาบอกฉันอย่างกะทันหันว่า เราต้องย้ายไปที่เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ไปอยู่กับแฟนใหม่ของแม่ ตอนแรกที่ฉันรู้ ฉันก็แอบดีใจนะคะ เพราะรู้สึกไม่อยากอยู่บ้านยาย เข้าใจฟิลด็กกรุงเทพ แล้วต้องมาอยู่ต่างจังหวัดแบบไม่มีอะไรน่าสนใจก็เบื่อเป็นธรรมดา แต่ก็คิดถึงพี่แพท คิดถึงพ่อ ใจนึงก็เลยไม่อยากไป
แต่สุดท้ายแล้ว หลังจากนั้นหนึ่งเดือน เราก็ได้ย้ายไปปารีส โดยแม่ตั้งใจจะให้ไปอยู่ที่นั่นถาวรเลยค่ะ บ้านพ่อเลี้ยงเราที่ปารีส ค่อนข้างมีเงิน พ่อเลี้ยงเราเป็นเจ้าของบริษัทส่งออกแห่งหนึ่ง เขามีลูกติดสองคน เป็นลูกชายหนึ่งคน ลูกสาวหนึ่งคน ลูกชายเขาเป็นพี่เราประมาณ สองปี ส่วนลูกสาวเป็นน้องเราปีกว่าๆ
วันแรกเราจำได้ดี วันที่เท้าเราเหยียบที่พื้นดินเมืองปารีส เรารู้สึกได้เลย ว่าชีวิตเราคงไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป และเมื่อเราเข้าไปในบ้านของพ่อเลี้ยง ได้พบกับลูกติดทั้งสองของเขา พี่เดออน เป็นพี่ชายที่น่ารักตั้งแต่แรกเห็นค่ะ ผิดกับที่เราคิดไว้มากที่เราคิดไว้คือ คงจะไม่มีใครชอบเราแน่ๆ เหมือนในนิยายอะไรแบบนี้ ส่วนน้องสาว หรือ เฟลอร์ เธอเป็นคนสวยมากกกกกกกกกกกก ค่ะ ย้ำว่ามากๆๆ เห็นครั้งแรกเราแบบตะลึงเลย เธอดูเป็นสาวกว่าเรามาก การแต่งตัวของเธอ ท่าทาง บุคลิกทุกอย่างเพอร์เฟ็ค แต่ … น้องคนนี้ หยิ่งยโสมากค่ะ เราเห็นได้จากดวงตาสีฟ้าสว่างของเธอที่มองจิกเรากับแม่ตลอดเวลา แรกๆเรายอมรับเลยว่าปรับตัวยากมาก ทั้งชีวิตในบ้าน ที่ต้องอยู่ร่วมชายคากับเฟลอร์กดดันมากค่ะ จนแทบอยากกลับไทยในสามวันแรกเลย เพราะตอนนั้นอยู่ในช่วงปิดเทอม เรายังไม่เข้าโรงเรียน ยังไม่มีเพื่อนซักคน มีแต่พี่เดออนเท่านั้น ที่คอยพาเที่ยว ช๊อปปิ้งอยู่บ่อยๆอีกเรื่องนึงที่กดดันเรามากคือเรื่องภาษาค่ะ คนที่นี่พูดฝรั่งเศส น้อยมากกกกกกกแทบไม่มีที่จะพูดอังกฤษได้ดี
แถมเวลาเราไปซื้อของ ไปนู่นไปนี่ พอเราพูดอังกฤษใส่ เขาก็จะทำหน้าไม่พอใจใส่อีก
พ่อเลี้ยงเราจึงจ้างครูมาสอนภาษาฝรั่งเศสให้เราที่บ้านค่ะเพื่อจะเอาไปใช้ในโรงเรียนตอนเปิดเทอม ซึ่งเหลือเวลาประมาณสองเดือนกว่าจะเปิดเทอม ระหว่างนั้นเราก็อยู่บ้านค่ะ เรียนพิเศษ อยู่บ้าน เที่ยวบ้าง ศึกษาเส้นทางต่างๆในปารีสจนค่อนข้างเซียนแล้ว พอเปิดเทอมแล้วก็คุ้มค่านะคะ ภาษาฝรั่งเศสที่เรียนมาก็ใช้ได้เลย มันได้ใช้ทุกวันๆ แปบเดียวก็พูดได้ค่ะ ชีวิตที่โรงเรียนสนุกมาก เราได้เจอเพื่อนมากมาย
เราค่อนข้างป๊อบปูล่าร์ที่นี่นะ อาจจะเพราะเราเป็นคนเอเชีย ผิวไม่ได้ขาวออกไปทางแทน หน้าคมเหมือนแม่ ผมดำ ตาดำมั้งคะเลยทำให้คนตื่นเต้น ที่โรงเรียนเราไม่มีคนไทยเรียนเลยค่ะ มีแต่คนจีน ญี่ปุ่น เป็นส่วนมากที่เป็นเอเชีย เรามีเพื่อนสนิทอยู่สี่ห้าคนค่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนฝรั่งเศสค่ะ มีผู้ชายสองคนเป็นคนอิตาลี่ พอมีเพื่อนแล้วก็สนุกเลยสิคะทีนี้ นิสัยชาวฝรั่งเศสจะเฟรนลี่มากค่ะ เฮฮา สนุกสนาน ไม่หยิ่งเลย เรากับเพื่อนจึงสนิทกันในระเวลาสั้นๆ หลังจากนั้น ชีวิตในปารีสของเราก็ไม่น่าเบื่ออีกต่อไปแล้ว
พอไฮสคูลเกรด10 เทอมสอง เรากลายเป็นเด็กติดเที่ยวเลยค่ะ คือเด็กที่ฝรั่งเศสชอบเที่ยวมาก ชวนไปบาร์ ไปนั่งกินเบียร์อากาศหนาวๆ จัดปาร์ตี้กันอาทิตย์ละไม่ต่ำกว่า2ครั้ง ยิ่งกลุ่มเพื่อนเรานี่ยิ่งหนักเลย สูบบุหรี่ทุกคนค่ะ ทั้งหญิงทั้งชาย แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติมากนะ
และเราก็ติดบุหรี่ตามเพื่อนเหมือนกันในช่วงนั้น
การเรียนที่นู่นก็ไม่เหมือนที่ไทย เขาจะเรียนเหมือนมหาลัย คือบางวันก็เรียนเช้าบางวันที่ก็เรียนบ่ายสามไปเลย ระหว่างคาบก็มีเบรก สามารถไปเที่ยวที่อื่นนอกโรงเรียนก่อนได้ ชีวิตนี่เฮฮามากค่ะ ไม่ว่าวันหยุดหรือไม่ก็มีปาร์ตี้ที่นี่บ้าง บ้านคนนี้ บ้านนู้นเต็มไปหมด วันหยุดยาวๆก็นั่งรถไฟ TGV ไปเที่ยวประเทศใกล้ๆ อิตาลี เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์ สวิต กันไม่ได้พักเลยชีวิตขณะนั้นทำให้เราลืมเมืองไทยไปชั่วขณะจริงๆ..
เข้าเรื่องสำคัญเลยละกันนะคะ
วันนึง เราไปปาร์ตี้วันเกิดเพื่อนเราคนนึง ที่ไม่สนิทมากแต่อยู่ชมรมศิลปะด้วยกัน เราได้เจอ ผู้ชายคนนึงค่ะ เขาเป็นลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส ถือว่าเป็นคนไทยคนแรกที่เจอที่นี่เลย เราประทับใจเขาตั้งแต่แรกเห็น แน่นอนค่ะเขาหน้าตาดี หล่อแบบลูกครึ่ง ผมดำ แต่ตาสีออกฟ้าๆไปทางเข้มๆ
เรายอมรับเลยว่าแอบมองเขานานมากจนในที่สุดเพื่อนเราก็แนะนำเราให้เขารู้จัก แรกที่เรารู้ว่าเขาเป็นลูกครึ่งไทย เราดีใจยิ่งกว่าเดิม ประทับใจเขามากกว่าเดิมหลายเท่าเลยค่ะ ทันทีที่เขารู้จากปากเพื่อนว่าเราเป็นคนไทย เขาก็กล่าวทักทาย “สวัสดีครับ” กับเราอย่างเฟรนลี่มากกก
ยิ้มหวานๆของเขา ทำเอาเราแทบละลายยตรงนั้นเลยจริงๆ เราใจเต้นแรงตลอดเวลาที่ได้พูดคุยกับเขา ตลอดเวลาครึ่งปีที่อยู่ที่ปารีสเราไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย
เขาชื่อ “โอลิวี” ค่ะ พ่อเป็นฝรั่งเศสส่วนแม่เป็นคนไทย แต่อยู่ที่นี่มาตั้งแต่เล็กๆ นานๆทีจะกลับเมืองไทยสักที เขาเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปี2 ด้านการบริหาร พ่อเป็นนักธุรกิจอยู่ที่ปารีส ส่วนแม่ทำธุรกิจส่วนตัวอยู่เมืองไทย เราพูดคุยกันถูกคอมากในงานปาร์ตี้นั้น เราต่างพูดภาษาไทยใส่กัน
พูดคุยเรื่องชีวิตของตัวเอง ต่างๆนานา เรื่องเมืองไทยต่างจากปารีสยังไง ที่เที่ยววต่างๆ ชอบอะไรไม่ชอบอะไร เขาเป็นคนคุยสนุกมากกกกกกกกคนนึงค่ะ ยิ่งเป็นภาษาไทยด้วยแล้ว ยากที่จะหยุดคุยกันง่ายๆ เราจึงแลกเบอร์โทรกันในงานปาร์ตี้นั้น
ตั้งแต่วันนั้นเราก็ติดต่อกับโอลิวีมาตลอดค่ะ นัดกันไปดูหนัง ทานข้าว ช้อปปิ้งบ้างถ้าหากว่างตรงกัน ซึ่งตลอดเวลาที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน เรามีความสุขมากกกเป็นเท่าตัว จากที่เคยแฮปปี้ดีอยู่แล้วดีกว่าเดิมไม่รุ้กี่เท่าค่ะ เราไปเที่ยวไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างนี้ประมาณ 3 เดือน จนวันนึง โอลิวีนัดเราไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งที่เราชอบไปกินกันบ่อยๆ แล้วเขาก็ขอเราเป็นแฟนค่ะ วิธีการขอของเขาโรแมนติกมาก เขามาพร้อมกับแหวนเพรชเม็ดเล็ก ดอกไม้ช่อโต คำพูดสวยหวานไม่รู้กี่คำรนั่งลงคุกเข่าต่อหน้าคนเป็นสิบๆคน ไม่มีทางไหนที่ทำให้เราปฎิเสธเขาได้เลยค่ะ … เราชอบเขามากๆ ชอบเขาจนไม่รู้จะพูดยังไง แล้วเราก็คบหากันตั้งแต่วันนั้นค่ะ ตลอดเวลาที่คบกันเขาดีกับเรามาก เหมือนกับพระเอกในนิยาย ดีเสมอต้นเสมอปลาย ไปรับไปส่ง ไม่เปลี่ยนแปลงจนเพื่อนๆอิจฉากันเป็นแถว
ติดตามต่อได้ใน http://www.tartoh.com/topic/7865