นอกจากเรื่องผีๆ ที่สร้างความกลัวและประหลาดกับสิ่งที่มนุษย์เราไม่อาจจะพิสูจน์ได้แล้ว โลกนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เราเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องจริงหรือเป็นเพียงแค่จินตนาการเพ้อฝันของใครบางคนเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่เชื่อว่าพวกเขามาเยือนที่โลกนับหมื่นๆ ปีตามหลักฐานบนสถานที่ต่างๆ ซึ่งยังสร้างความสงสัยให้กับมนุษย์ในปัจจุบันว่าคนโบราณนั่นสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยเหรอ จนพาลคิดว่าจริงๆ แล้วสถานที่ทั้ง 10 นี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ต่างดาวต่างหาก!
10. Ancient Cave
มีการค้นพบศิลปะโบราณที่มีอายุหลายพันปีที่วาดรูปสิ่งที่ดูเหมือนไม่ใช่มนุษย์เอาไว้ ส่งผลทำให้เกิด “ทฤษฏีนักบินอวกาศในโลกโบราณ” ขึ้น โดยตำนานกล่าวว่ามีเทพหรือผู้มาจากฟ้าเบื้องบนมาติดต่อกับมนุษย์สมัยก่อนเพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและความรู้แก่พวกเขา โดยภาพศิลปะโบราณนั้นปรากฏอยู่ทั่วโลก เช่น ภาพเขียนที่ทะเลทรายซาฮาร่าอายุประมาณ 6,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีภาพวาดหนึ่งที่คล้ายจานบินและมนุษย์ต่างดาว, ศิลปะสกัดหินแห่งหุบเขาคาโมนิคา ภาพวาดคล้ายมนุษย์อวกาศมีความเก่าแก่ประมาณ 10,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ส่วนในภาพเป็นส่วนหนึ่งของภาพวาดตามผนังของชนเผ่าอบอริจินที่เมือง Kimberly อายุประมาณ 5,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ที่เป็นภาพเหล่ามนุษย์แปลกๆ ที่ดูแล้วไม่ใช่มนุษย์แต่เหมือนมนุษย์ต่างดาวมากกว่า ในขณะที่ฝ่ายค้านจานบินบอกว่าภาพเหล่านี้น่าจะเป็นภาพเทพเจ้าตามความเชื่อของคนโบราณมากกว่า
9. Egyptian Carvings
มีหลักฐานชัดเจนว่ามีเทคโนโลยีสูงสุดในยุคโบราณที่ปรากฏในภาพเกาะสลักในจารึกในอียิปต์ บางภาพดูเหมือนเฮลิคอปเตอร์ จานบิน เครื่องบินเจ็ท หรือแม้กระทั้งหลอดไฟฟ้าที่ค้นพบในวิหารเดนเดรา ซึ่งชาวอียิปต์โบราณได้สลักภาพที่ดูเหมือนหลอดไฟฟ้าไว้อย่างชัดเจน โดยสิ่งเหล่านี้ไม่ได้กล่าวถึงวรรณกรรมในอียิปต์แต่อย่างใด ส่วนภาพที่เห็นนั้นคือคานติดเพดานอายุกว่า 3,000 ปี ในวิหารอาบิดอส โบราณทางใต้ของไคโร ของอียิปต์ บริเวณที่ราบสูงกิซา มีภาพประติมากรรมยานลึกลับปรากฏอยู่
8. Nazca Lines
ไกลออกไปในที่ราบสูงซึ่งเป็นที่ทะเลทรายนาซคาในภาคใต้ของเปรู ได้มีลายเส้นเครื่องหมายหรืออาจเป็นสัญลักษณ์บางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นอย่างดาษดื่นทั่วไปกินเนื้อที่หลายร้อยตารางไมล์ แต่ส่วนใหญ่พบอยู่ในระหว่างเมืองนาซคากับเมืองปัลปา โดยที่ลักษณะมีการขีดเน้นอย่างจงใจและประณีต ขนาดใหญ่โตถึง 200 เมตร และรูปทั้งหมดครอบคลุมเนื้อที่กว่า 500 ตารางกิโลเมตร ท้าทายแดด ลม ฝน เป็นเวลากว่าสองพันปี ลายเส้นเหล่านี้นิยมเรียกกันว่า "นาซคาไลน์" นาซคาไลน์ มีหลายรูปแบบ ชนิดที่เป็นทรงเรขาคณิตก็มีทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมู วงกลมเส้นหยัก เส้นแคบ ยาวกว่า 5 ไมล์ นอกจากนั้นยังมีรูปนก สัตว์เลื้อยคลาน ปลาวาฬ ลิง แมงมุม นกฮัมมิ่งเบิร์ด (ทั้งๆ ที่เปรูไม่มีนกชนิดนี้) บางภาพก็คล้ายเครื่องปั้นดินเผาโบราณของชาวเมืองนาซคาที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นงานของชาวเมืองนี้อายุลานเส้นสันนิษฐานว่าตกอยู่ในยุค 100 ปีก่อนคริสตศักราช นาซคาไลน์ แม้จะดูทำขึ้นแบบง่ายๆ แต่คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลามาก ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยหินหน้าทรายการจัดแนวหินให้เป็นเส้นตรง และค่อนข้างชัดเจนว่าภาพเหล่านี้จงใจสร้างขึ้นเพื่อให้มองจากท้องฟ้า การออกแบบหาไอเดียเพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ซึ่งไม่มีฝนตกเลย อย่างน้อยก็พันปีมาแล้ว มีการเดาไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นถนนก่อนประวัติศาสตร์ ฟาร์ม สนาม ยานอวกาศ เครื่องหมายหรือสัญญาณบอกเรื่องราวแก่สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้าเช่น มนุษย์ต่างดาวหรือพระเจ้าในความเชื่อถือทางศาสนา แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครรู้จริง นอกจากจะสันนิษฐานว่าเป็นผลงานทางศิลปะของอินเดียนแดงโบราณ
7. Antikythera Mechanism
มีสิ่งประดิษฐ์อย่างน้อยหนึ่งชิ้นที่พิสูจน์ว่า อารยธรรมหนึ่งในโลกโบราณเป็นเจ้าของเทคนิคที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่คาดถึงมาก่อน มันถูกพบในทะเลนอก เกาะแอนติไกเธอร่าเป็นเกาะเล็กๆ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของครีท มันจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่า มันถูกค้นพบจากเรือที่อับปางลำหนึ่งที่ถูกค้นพบในปี 1900 การค้นพบในครั้งนี้ทำให้รัฐบาลกรีกยืนมาช่วยเหลือยื่นมือกู้สมบัติ กว่าจะกู้หมดใช้เวลา 9 เดือน พวกเขาก็นำเอารูปปั้นหินอ่อนและบรอนซ์ขึ้นมาและนำพวกมันไปยังพิพิธภัณฑ์โบราณคดีแห่งชาติในกรุงเอเธนส์เพื่อทำความสะอาดและบูรณะ พนักงานของพิพิธภัณฑ์ตื่นตาตื่นใจในความงามและปริมาณที่มีอยู่มากมายของสิ่งของ ดังนั้นมันจึงไม่น่าแปลกใจที่ต้องใช้เวลาหลายเดือน ก่อนที่จะมีใครมองดูซากบรอนซ์ที่ผุกร่อนสองสามชิ้นที่ถูกค้นพบมาพร้อมกันอย่างใกล้ชิด
และเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1902 นักโบราณคดีชั้นนำผู้หนึ่ง วาเลอริออส สตาอิส ได้ตรวจพบมันในที่สุด เขาสังเกตเห็นสมบัติที่งมขึ้นมีชิ้นเดียวที่ถูกละเลยกองรวมรูปหล่อบรอนซ์และรูปสลักหินอ่อนไม่สมบูรณ์อื่นๆ แถวรูปร่างของมันคล้ายนาฬิกามีโครงร่างซี่ล้อผุพัง แต่ชิ้นที่น่าสนใจที่สุดของทั้งหมดคือเครื่องจักรกลที่รวบรวมระบบฟันเฟืองที่แตกต่างกันโดยอย่างสิ้นเชิง นี่เพราะตามประวัติศาสตร์ได้มีการคิดระบบฟันเฟืองที่ซับซ้อนถึงเช่นนี้ปรากฏเป็นครั้งแรกในตัวเรือนนาฬิกาที่สร้างขึ้นในปี 1575 ผู้เชี่ยวชาญบางคนบอกว่ามันเป็นล้อฟันเฟืองของจานกลุ่มดาว ซึ่งนักดาราศาสตร์ใช้ในการวัดการขึ้นของดวงอาทิตย์ เลอริออสได้ประกาศสิ่งที่เขาพบว่านี้คือเครื่องกลไกทางดาราศาสตร์โบราณ แต่ก็มีการโต้เถียงในเวลาต่อมา เพราะหลายคนไม่เชื่อว่าคนสมัยก่อนไม่น่าจะมีหัวคิดในเรื่องกลไกลสลับซับซ้อนแบบนี้ได้ แม้จะเก่งเรื่องคณิตศาสตร์ก็ตามแต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่าใช้อย่างไร หรือมันไปทำอะไรในเรือที่บรรทุกรูปปั้น แต่ตัวของไพรส์คิดว่ามันอาจเป็นตัวแทนของจักรวาลเป็นงานศิลปะมากกว่าที่จะเป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เขายังเชื่อว่ามันอาจเป็นส่วนหนึ่งของการสืบทอดเทคนิคการติดตั้งเฟืองที่ตกทอดให้แก่คนรุ่นหลัง จากกรีกโบราณให้กับผู้รับช่วงชาวมุสลิม และท้ายที่สุดก็ออกดอกออกผลมาเป็นนาฬิกาทางดาราศาสตร์ของชาวยุโรปผู้ยิ่งใหญ่ในยุคกลาง และเครื่องจักรกลแอนดิคีเธอร่าต้องจัดให้เป็นอย่างที่ไพรส์กล่าวว่า "เป็นหนึ่งในประดิษฐกรรมพื้นฐานทางด้านเครื่องจักรกลทางเวลาทั้งหมด"
อย่างไรก็ตามการค้นพบ เครื่องจักรกลแอนติไกเธอร่า (Antikythera Machine) นั้นเป็นการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญชิ้นแรก ที่จุดประกายให้มีการลบล้างความเข้าใจดั้งเดิมที่เชื่อๆ กันว่าคนโบราณนั้นฉลาดเหลือเชื่อ หรือเป็นผลงานของมนุษย์ต่างดาวกันแน่?
6. Saqqara Bird
ถูกค้นพบเมื่อปี 1898 ในสุสานใกล้กับเมืองกีซาซึ่งถูกประมาณการว่าสร้างเมื่อ 200 ปี ก่อนคริสตกาล ขณะที่บางเอกสารจะกล่าวว่า 2,000 ปี โดยเป็นอีกหลักฐานหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมนักบินอวกาศยุคโบราณ ซึ่งรูปร่างสิ่งนั้นเหมือนเครื่องบินยาวประมาณ 14 เซนติเมตร ปัจจุบันหลักฐานชิ้นนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงไคโร โดยผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การบินชี้ว่าทรวดทรงและองศาของปีกตรงตามหลักการทำปีกเครื่องบิน และยังมีผู้กล่าวด้วยว่าเครื่องบินรุ่นใหม่ล่าสุด (ในเวลานั้น) ซึ่งดีไซน์โดยนาซ่ามีความคล้ายคลึงกับโมเดลดังกล่าวนี้มาก ส่วนคนค้านก็ว่าว่า “มันเป็นนกไม่ใช่เครื่องบิน” หากแต่สังเกตดีๆ สิ่งนั้นไม่มีขาและองศาของปีกนั้นไม่เหมือนกับนก อีกทั้งการออกแบบเหมือนเครื่องบินกำลังยกเครื่อง โดยปัจจุบันเชื่อว่าเป็นศิลปวัตถุทางศาสนา ไม่ก็ของเล่นของเด็กสมัยก่อน
5. Dogu
โดกุเป็นรูปปั้นประหลาด เริ่มผลิตในสมัยโชมอนตอนปลายของญี่ปุ่น รูปแกะสลักดังกล่าวเป็นงานหยาบๆ และง่ายๆ โดยการเกลาไม้ให้เป็นรูปร่างคร่าวๆ มีตา จมูก ปาก แขน และขา แต่ประหลาดนิดหน่อยคือมีศีรษะใหญ่ผิดปกติ ลำตัวและแขนบิดเบี้ยวผิดไปจากธรรมชาติ และสวมเครื่องแต่งกายโบราณเท่านั้น โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า บริเวณดวงตาโดกุก็มีดวงตากลมโตยื่นออกมาเป็นรูตรงกลาง ขณะที่บางตัวมีรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและชุดโบราณนั้นก็คล้ายกับชุดอวกาศเหมือนมนุษย์ต่างดาวไม่มีผิด! ส่วนคนค้านก็บอกว่าดวงตากลมนั้นอาจจะเป็นแว่นกันหิมะเหมือนชาวเอลกิโมก็ได้ ก็ไม่น่าแปลกอะไรเพราะสมัยก่อนญี่ปุ่นมีหิมะเยอะอยู่แล้ว
ด้านในอเมริกาก็มีผู้เชียวชาญมาตรวจสอบเหมือนกัน และให้ความเห็นแบบง่ายๆ ว่า "ถ้าเสื้อโบราณนี้เป็นเสื้ออวกาศละก็จะเป็นชุดที่มีความสมบูรณ์แบบชุดหนึ่ง ส่วนมัสซึมูระและซีซิกส์ นักโบราณคดี คิดว่าประชากรชาวญี่ปุ่นน่าจะเลียนแบบอะไรสักอย่าง โดยชุดนี้อาจใช้ในการสู้รบกับอะไรสักอย่างที่เกินมนุษย์อย่างเราเข้าใจกัน เพราะมีการสวมถุงมือและถุงเท้าเข้ากับชุดดังกล่าว ถุงมือที่ตัดนั้นจะสวมพอดีกับแขนโดยมีห่วงกลมคอยรัดเอาไว้ ส่วนแว่นตานั้นก็สามารถเปิดหรือปิดก็ได้ ด้านข้างลำตัวจะมีคานติดอยู่ บางทีอาจะมีไว้สำหรับเคลื่อนทีในขณะที่มงกุฎที่อยู่บนหมวกเหล็กนั้นก็อาจจะเป็นเสาอวกาศ และชุดที่ออกแบบแบบนี้อาจใช้ในสภาพเหมาะสมกับการควบคุมความดันโดยอัตโนมัติก็ได้"
อีกทั้งตุ๊กตาโดกุได้เชื่อมโยงกับเทพเจ้าฮิโตโคโตนูชิ เป็นเทพที่มาเยือนมนุษย์เพื่อสอนให้มนุษย์รู้จักวิทยาการต่างๆ และสอนให้มนุษย์รู้จักสร้างอาวุธและใช้อาวุธด้วย โดยเทพฮิโตโคโตนูชิเป็นเทพในชุดโชมอนอยู่ในชุดแต่งกายของชุดมนุษย์โบราณ และถืออาวุธที่ไม่มีอยู่บนโลกใบนี้ และมีหมวกเหล็กสวมบนศีรษะอีก เหมือนพระเจ้าจากอวกาศไม่มีผิด! และตุ๊กตาโดกุนี้ไม่ได้มีจุดเดียวที่ถูกค้นพบ แต่ตุ๊กตาแกะสลักเหล่านี้ถูกค้นพบเกือบทั่วญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นอำเภอคาเมกาโอกะ อาโอโมริ และ มิยูกิ แถบ โตโฮกุ คันโต และอีกหลายตำบลในบริเวณนั้น
4. Crop Circles
ครอปเซอร์เคิล เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงรูปแบบพืช (ข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเหลือง) ที่ล้มลงจนกลายเป็นรูปทรงโดยรวมที่ออกมา เมื่อมองจากมุมสูงจะพบเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่ซับซ้อน สวยงาม นอกจากนี้มีปรากฏการณ์แปลกๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้มากมายเช่น มีลูกบอลเรืองแสงที่มีสีสันจากความร้อนได้เกิดขึ้นก่อนการเกิดครอปเซอร์เคิล ในบางโอกาสมีลำแสงพุ่งลงมายังท้องทุ่งและต้นพืชที่ล้มลงก้านนั้นจะไม่หักเลยทีเดียวแต่จะงอไปทางขวา ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1678 ที่เฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ อังกฤษและในทศวรรษที่ 1980 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลมากขึ้นไปทั่วโลโลก ไม่มีใครอธิบายได้ว่าใครหรืออะไรทำให้มันเกิดขึ้นจนมันนำไปสู่ทฤษฎีแรกคือร่องรอยการลงจอดของยานจากต่างดาว แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ยังเป็นที่คลางแคลงใจเพราะไม่มีใครเห็นร่องรอยของรถ หรือรอยเท้าคน แม้กระทั่งขี้บุหรี่และสิ่งของต่างๆ ตกอยู่เพื่อให้เก็บเป็นหลักฐานในบริเวณนั้นเลย หากนี่คือฝีมือมนุษย์จริงๆ คนทำงานกลุ่มนี้ต้องมีความรอบคอบมากที่จะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ให้สืบค้นแม้แต่น้อย นอกจากนี้มีคนเสนอทฤษฎีว่า ครอปเซอร์เคิลเกิดจากความผิดปกติของอากาศที่เขาเรียกว่า Plasma Vortex ทำให้เกิดลมหมุนวนในระดับสูงแล้วเคลื่อนตัวลงสู่พื้นทำให้พืชแบน
3. Norwegian Spiral
ในเดือนธันวาคม 2009 ทางภาคเหนือของนอร์เวย์ มีปรากฏการณ์หนึ่งที่ยากจะหาคำตอบได้นั่นก็คือบนท้องฟ้าปรากฏลำแสงลึกลับ รูปเกลียววงใหญ่ชนิดใหญ่มาก มีสีฟ้าอ่อน ส่งผลให้เกิดกลุ่มเมฆ กลุ่มควันเป็นรูปใยแมงมุมขนาดใหญ่บนท้องฟ้า ปรากฏการณ์ดังกล่าวอยู่นาน 2-3 นาทีก่อนที่จะหายไป โดยพวกยูเอฟโอเชื่อว่ามันเป็นสัญญาณจากมนุษย์ต่างดาว แถมมีการเสริมว่ามนุษย์ต่างดาววาร์ปมาขัดขวางการรับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพที่กำลังจะมาถึงนี้ของนายบารัค โอบาม่าด้วย ในขณะที่ฝ่ายค้านเชื่อว่ามันเป็นจรวดมิสไซล์ที่ถูกยิงมาจากเรือของรัสเซีย แต่ระเบิดเกิดผิดพลาด มันเสียสมดุลและหมุนวนในอากาศจนทำให้เกิดควันเป็นวงกลมรูปใยแมงมุมดังกล่าว บ้างก็ว่าเป็นการทดลองของ HAARP จาก Project Blue Beam
2. Stonehenge
สโตนเฮนจ์ เป็นกลุ่มแท่งหินขนาดใหญ่ ตั้งอยู่กลางทุ่งราบว้างใหญ่ในบริเวณ เมืองซัลลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ ในบริเวณตอนใต้ของอังกฤษ ประกอบไปด้วยแท่งหินขนาดยักษ์ 112 ก้อน ตั้งเรียงกันเป็นวงกลมซ้อนกัน 3 วง แท่งหินบางอันตั้งขึ้น บางอันอยู่ในแนวนอน และบางอันก็ถูกวางซ้อนขึ้นไปข้างบน มีชื่อเสียงอย่างมากในฐานะที่เป็นกลุ่มหินประหลาดซึ่งไม่มีใครทราบวัตถุประสงค์ในการสร้างอย่างชัดเจน และเมื่อพิจารณาถึงอายุของมันแล้ว คาดว่ากลุ่มกองหินประหลาดนี้ ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ 5,000 ปีที่แล้ว ทำให้นักวิทยาศาสตร์และนักประวัติศาสตร์ต่างสงสัยว่า คนในสมัยก่อนสามารถยกแท่งหินที่มีน้ำหนักกว่า 30 ตัน ขึ้นไปวางเรียงกันได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ปราศจากเครื่องทุ่นแรงอย่างที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน และที่น่าแปลกไปกว่านั้นคือในบริเวณที่ราบดังกล่าวไม่ใช่บริเวณที่จะมีก้อนหินขนาดมหึมานี้ ดังนั้นจึงสันนิษฐานว่าผู้สร้างต้องทำการชักลากแท่งหินยักษ์ทั้งหมดมาจากที่อื่น ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากบริเวณที่เรียกว่า "ทุ่งมาล์โบโร" ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตรเลยทีเดียว
เมื่อมีผู้สันนิษฐานถึงวัตถุประสงค์ในการสร้างสโตนเฮนจ์กันหลายประเด็น แต่ประเด็นที่ดูจะได้รับความเชื่อถือมากที่สุดคือพิธีกรรมทางศาสนาของหรือดาราศาสตร์ ใช้ในการสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้าเช่น สุริยุปราคา เป็นต้น
1. Pyramids of Giza
มีผู้เชื่อว่าเอเลี่ยนโบราณได้เคยทิ้งอนุสรณ์เอาไว้บนโลก และอนุสรณ์ที่โด่งดังที่สุดก็คือพีระมิด สิ่งก่อสร้างใหญ่โตโอฬาร ซึ่งแม้พีระมิดที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดจะอยู่ที่อียิปต์ แต่จริงๆ แล้วพีระมิดถูกสร้างขึ้นจำนวนมากมาย กระจายไปทั่วโลกเช่น ในเม็กซิโก กรีซ จีน ฯลฯ ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนโบราณบนโลกเรานี้ หลายๆ พื้นที่จะคิดได้เหมือนกัน ทั้งๆ ที่สมัยก่อนโน้นเมื่อ 3-5 พันปีก่อน ยังไม่มีการเดินทางไปมาหาสู่กันสะดวกสบายเหมือนตอนนี้ การถ่ายทอดวัฒนธรรมจึงเป็นเรื่องยาก แต่พีระมิดก็เกิดขึ้นแทบจะทั่วโลก และน่าทึ่งด้วยเทคโนโลยีการตัดและเคลื่อนย้ายก้อนหินขนาดใหญ่รูปทรงที่สมมาตร แถมพีระมิดบางแห่งยัง "ซ่อน" ความลับด้านวิทยาการเอาไว้อย่างน่าประหลาดใจ
อย่างพีระมิดเห่งเมืองกีซ่า (เมืองกีเซห์) ตั้งอยู่ ณ เมืองกีเซ่ห์ ประเทศอียิปต์ โดยมีกษัตริย์คีออปส์หรือคูฟู กษัตริย์คาเฟรและกษัตริย์คูเรเป็นผู้สร้าง ประมาณ 4,500 ปีมาแล้ว เป็นที่บรรจุพระบรมศพของกษัตริย์คีออปส์หรือคูฟู พีระมิดแห่งนี้เดิมสูง 481.4 ฟุต แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 450 ฟุต ฐานกว้าง 768 ฟุต ใช้หินทรายตัดเป็นแท่งรูปสามเหลี่ยมหนักประมาณก้อนละ 2 ตันครึ่ง บางก้อนหนักถึง 16 ตัน โดยการนำเอามาซ้อนกันขึ้นไปเป็นทรงกรวย เชื่อกันว่าพีระมิดองค์นี้จะทนแดดทนฝนอยู่ได้อีกนานกว่า 5,000 ปี และเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของยุคโบราณสิ่งเดียวเท่านั้นที่มีอายุยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนคนที่เชื่อทฤษฏีนักบินอวกาศโบราณเชื่อว่าพีระมิดแห่งกีซาสร้างโดยมนุษย์ต่างดาว แต่อย่างไรก็ดีพวกเขาก็ยังหาหลักฐาน ที่เป็นที่มีเหตุผลเพียงพอไม่ได้ ข้อพิสูจน์ที่ว่าพีระมิดแห่งกีซาทั้งสามหันไปทางยังเข็มขัดโอไรออนซึ่ง เชื่อว่าเป็นที่อยู่ของมนุษย์ต่างดาวที่เคยมาเยือนโลกในสมัยโบราณนั้นยังคงเป็นได้เพียงสมมติฐานเท่านั้น โดยมีตำนานเล่าว่านานมาแล้วนักบินอวกาศจากดวงดาวอันไกลโพ้นได้มาถึงโลกของเรา ปักหลักอยู่อาศัย ได้พบปะมนุษย์โลก และถ่ายทอดเทคโนโลยีต่างๆให้ จนกลายเป็นพีระมิดในที่ต่างๆ ซึ่งเกิดการตีความกันไปในหลายทางว่า ความหมายที่แท้จริงของพีระมิดคืออะไรกันแน่ บางคนบอกว่า เป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ ในขณะที่บางคนก็บอกว่าเป็นจุดสังเกตสำหรับยานอวกาศเวลาขึ้นลง
ที่มา : toptenthailand