แอตแลนติส อาณาจักรที่สาบสูญ
2014-05-23 11:21:17

          บนโลกใบนี้ยังมีดินแดนอีกมากมายที่ยังไม่มีใครค้นพบ บางที่ก็ได้หายสาบสูบไปแล้วอย่างเช่น “แอตแลนติส” ที่ใครๆ ต่างรู้จัก โดยวันนี้เราจึงขอนำเสนอเรื่องราวสถานทีแห่งนี้กัน

 

 

          แอตแลนติส (Atlantis) คือ อาณาจักรโบราณที่อยู่ในความทรงจำของคนทั้งโลก ซึ่งผู้ที่สร้างตำนานอาณาจักรลึกลับนี้คือ เพลโต นักปรัชญาชาวกรีกโบราณที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่อแนวคิดตะวันตก กล่าวกันว่าอาณาจักรแอตแลนติส เป็นทวีปๆ หนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก และเป็นที่อยู่อาศัยของพลเมืองผู้ทรงคุณธรรมและเทคโนโลยีที่สูงส่ง กำแพงเมืองเป็นทองคำและวิหารสร้างด้วยเงิน มีอุทยานหย่อนใจและสนามแข่งม้า ทว่ามันถูกทำลายพังพินาศด้วยความพิโรธของเทพเจ้าผู้เนรมิตมันขึ้นมา

 

          ที่มาของเรื่องแอตแลนติสคือ ข้อเขียนในรูปของบทสนทนาสองเรื่องโดยพลาโต (Plato: 427 ก่อนค.ศ. - 347 ก่อน ค.ศ.) เรื่องหนึ่งชื่อ Timaeus อีกเรื่องหนึ่งชื่อ Critias ซึ่งสำหรับวงการวิทยาศาสตร์โดยทั่วไป เชื่อว่าแอตแลนติสเป็นเรื่องเล่าในรูปของนิยายวิทยาศาสตร์มิใช่เรื่องจริง แต่คนเป็นจำนวนมากก็เชื่อว่าอาจจะเป็นเรื่องจริงและได้มีความพยายามค้นหาแอตแลนติสกันเรื่อยมา โดยพยายามตีความหมายตำแหน่งของแอตแลนติสว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ เพราะพลาโตระบุว่าแอตแลนติสได้ล่มจมหายไปแล้วในทะเลอยู่ห่างจาก "Pillars of Hercules" (เสาหินเฮอร์คิวลีส) ออกไป

 

          คำทำนายเกี่ยวกับอาณาจักรแอตแลนติสที่เชื่อกันว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยแรกของโลก เอ็ดการ์ เคย์ซี ได้พยากรณ์ไว้ตอนหนึ่งว่า ทวีปแอตแลนติสเป็นทวีปที่ใหญ่ที่สุดในโลกมีขนาดใหญ่กว่ายุโรปทั้งหมดรวมกับแผ่นดินรัสเซีย มีดินแดนต่อทอดไปทั่วโลก ชนชาติทีอาศัยอยู่บนทวีปแอตแลนติสเป็นชนชาติผิวแดงที่มีความเฉลียวฉลาดเป็นเลิศ ผู้คนทั่วไปมีประสิทธิภาพอย่างดียิ่ง มีความรู้ความสามารถในศาสตร์ต่างๆ ทั้งปวง รวมทั้งงานด้านประติมากรรม, วิศวกรรมและสถาปัตยกรรมด้วย โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์นั้น เคย์ซีได้บันทึกไว้เป็นคำพยากรณ์ในบทที่ 2794-L-1 โดยสรุปว่าชาวแอตแลนติสมีความรู้ ความเจริญก้าวหน้าทางด้านเคมี ฟิสิกส์ และจิตวิทยามาก พวกเขารู้จักประดิษฐ์ไฟฟ้าใช้ รู้จักผลิตพลังปรมาณูจากยูเรเนียม รู้จักผลิตแสงเลเซอร์ ตลอดจนผลิตคลื่นวิทยุติดต่อกับดินแดนอื่นได้

 

          แล้วสิ่งสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ชาวแอตแลนติสสามารถผลิตพลังงานมหาศาลจากผลึกมหัศจรรย์ชนิดหนึ่งที่สามารถรวมเอาพลังธรรมชาติทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกและจักรวาลเข้าด้วยกัน และเป็นที่น่าสังเกตว่าความสำเร็จในทางวิทยาศาสตร์ของชาวแอตแลนติสนั้นอาศัยพลังงานแสงอาทิตย์เป็นสำคัญ วัฒนธรรมสูงส่งของชาวแอตแลนติสพัฒนาตลอดมาโดยมีความเกี่ยวพันทางศาสนา เริ่มตั้งแต่มีการทำพิธีบูชาพระอาทิตย์และเทพเจ้า

 

          แต่แล้ววัฒนธรรมของอาณาจักรแอตแลนติสหายสาบสูญไปในที่สุด เมื่อเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ ดินแดนของมหาอาณาจักรเกิดสั่นสะเทือน และได้ถล่มทลายลงไปภายใต้ท้องทะเลเพียงชั่วคืนชั่ววัน ใต้ทะเล ภายในชั่วคืนกับชั่ววัน ดังนั้นเมื่อปี 9500 ก่อนคริสตกาล ชาวแอตแลนติสจึงได้หายไปจากโฉมหน้าของโลกไปในที่สุด

 

          ซึ่งเคย์ซีกล่าวว่า วัฏจักรแห่งประวัติศาสตร์มักจะหมุนเวียนกลับมาอีกเสมอ ดังนั้นวิญญาณของชาวแอตแลนติสย่อมมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ได้อีก จากดินแดนหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่งและจากทวีปหนึ่งไปยังอีกทวีปหนึ่งหรือจากเกาะหนึ่งไปยังเกาะอื่นๆ มหาอาณาจักรแอตแลนติสมีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการเท่ากับโลกเราสมัยปัจจุบันหรือบางอย่างมีความก้าวหน้ามากกว่า พวกเรารู้จักพัฒนาโดยนำเอาพลังงานอันมหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ในปัจจุบันเคย์ซีเชื่อว่า โลกเราได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วนที่ร้ายแรงที่สุดมาหลายครั้งแล้วซึ่งอาจมีผลทำให้อาณานิคมหรือดินแดนบางส่วนของมหาอาณาจักรแอตแลนดิสโผล่ขึ้นมาให้ชาวโลกได้เห็นอีกก็เป็นได้เช่น เมื่อปีพ.ศ. 2483 เคย์ซีทำนายว่าพื้นที่บางส่วนทางด้านตะวันตกของแอตแลนติสจะโผล่ขึ้นมาใกล้ๆ บริเวณหมู่เกาะบาฮามาในช่วงระหว่าง พ.ศ.2511-2512 ปรากฏว่าคำทำนายของเคย์ซีได้กลายเป็นความจริงคือได้มีการค้นพบซากเมืองใต้บาดาลใกล้ๆ หมู่เกาะบาฮามา เรียงต่อกันอย่างประณีตราวกับมีการใช้เทคโนโลยีทางวิศวกรรม และสถาปัตยกรรมชั้นสูง หินบางก้อนมีขนาดใหญ่ พอๆ กับขนาดรถบรรทุกเลยดีเดียว ลำพังจะใช้กำลังคนช่วยกันแบกหามขึ้นไปวางเรียงต่อกันก็คงจะไม่ทำได้เรียบร้อยและประณีตเช่นนั้น เคย์ซียังทำนายต่อไปอีกว่าภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่เกิดขึ้นจนทำให้มหาอาณาจักรแอตแลนติสอันกว้างใหญ่ไพศาลถล่มทลายพังพินาศจมหายไปใต้ทะเลนั้นจะเกิดขึ้นอีกหลายแห่งในโลก

 

          และเคย์ซีได้กล่าวอีกว่าในช่วงแรกสุดของโลกเรา เมื่อประมาณ 10 ล้านห้าแสนปีมาแล้ว มีอารยธรรมเกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปหลายครั้ง ยุคเจริญรุ่งเรืองของอารยธรรมชาวแอตแลนติสอยู่ระหว่างช่วงนับจาก 200,000 ลงมาจนถึงปี 10,700 ก่อนคริสตกาล คือนับตั้งแต่ช่วงเวลาประมาณ 13,000 ปี ถอยหลังเป็นต้นไปคือสรุปแล้ว จะมีอายุนานประมาณ 80,000-900,000 ปี

 

          ทั้งนี้นี่ก็เป็นคำพยากรณ์บางส่วนของ เอ็ดการ์ เคย์ซี ที่ทำนายอดีตของโลกเราย้อนหลังไปหลายแสนหลายล้านปี ซึ่งความเป็นจริงในสิ่งที่เขาพยากรณ์ไว้นั้นต้องรอคอยให้นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ในโลกปัจจุบันพิสูจน์ให้เห็นเด่นชัดในอนาคต 

 

 

 

          ด้วยเหตุนี้อาณาจักรที่ล่มสลายไปในอดีตกาล ก็ทำให้นักสำรวจทั่วโลกต่างๆ ให้ความสำคัญในการค้นหาจากบทบันทึกของเพลโตได้กล่าวถึงดินแดนแห่งนี้ไว้ว่า เป็นอาณาจักรที่มีอารยธรรมรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่ได้ล่มสลายลงและถูกคลื่นยักษ์กวาดกลืนจนไร้ร่องรอย แอตแลนติส (Atlantis) เป็นเรื่องราวที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของเพลโตชื่อทีมาอุส (Timaeus) และ ครีติอัส (Critias) ซึ่งเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับสิ่งที่บรรพบุรุษของเพลโตเล่าต่อกันมาว่า แอตแลนติสเป็นชนชาติที่อยู่บนเกาะในช่วงระหว่าง 11,500 ปีที่แล้ว ซึ่งได้พัฒนาอารยธรรมจนเจริญก้าวหน้าไปมาก ส่วนสาเหตุที่ทำให้ดินแดนแห่งนี้ล่มสลายนั้นมีทั้งจากภัยธรรมชาติหรือจากตำนานเทพเจ้ากรีกที่ระบุว่าชาวเมืองแอตแลนติสมีความละโมบ และกระหายอำนาจ เทพเจ้าจึงลงโทษด้วยการทำลายเมืองไปในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผู้สงสัยว่าแอตแลนติสที่แท้จริงอาจเป็นเพียงแค่จินตนาการของเพลโตก็เป็นได้

 

          แต่จากความรุ่งเรืองของอารยธรรมแห่งนี้ จึงเป็นมนเสน่ห์ดึงดูดให้ทั้งนักประวัติศาสตร์และนัก สำรวจพยายามค้นหาที่ตั้งของแอตแลนติส จากที่เพลโตได้เขียนไว้ว่าแอตแลนติสตั้งอยู่เลยเสาหินแห่งเฮอร์คิวลีส (Pillars of Hercules) ออกไปซึ่งในปัจจุบันคือช่องแคบยิบรอลตา (Gibraltar) ดังนั้นแอตแลนติสจึงควรอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยน่าจะเป็นหมู่เกา อะซอเรส (Azores) หรือมาดีราส (Madeiras) หรือคานารีส (Canaries) แต่การศึกษาทางโบราณคดีที่หมู่เกาะเหล่านี้ไม่ได้ให้หลักฐานใดๆ ว่าเคยเป็นอาณาจักรแอตแลนติสมาก่อน เมื่อไม่มีหลักฐานใดๆ ในแอตแลนติก ว่าผู้คนที่ยังมีความศรัทธาในเรื่องของอาณาจักรแอตแลนติสก็ได้หันมาพิจารณาคำของเพลโตที่ว่า พิลาร์ ออฟ เฮอร์คิวลีส นั้นจริงๆ แล้วเพลโตน่าจะหมายถึงช่องแคบดาร์ดาแนลเลส (Dardanelles) ของทะเลดำ (Black Sea) มากกว่าช่องแคบยิบรอลตา ดังนั้นการค้นหาแอตแลนติสจึงได้ถูกย้ายจากมหาสมุทรแอตแลนติกมากระทำในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (Mediterranean) แทน

 

 

          ต่อมาโรเบิร์ต ซาร์แมสต์ (Robert Sarmast) นักวิจัยจากสหรัฐฯ ค้นพบว่าแอ่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้จมลงไปขณะน้ำท่วมครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 1,900 ปีก่อนคริสตกาล จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นบริเวณซึ่งเป็นที่ตั้งของแอตแลนติส โดยบริเวณนี้จมลึกลงไปถึง 1 ไมล์ใต้ทะเลระหว่างไซปรัส (Cyprus) และซีเรีย (Syria) จากการสแกนฟังเสียงสะท้อนใต้น้ำลึก แสดงว่ามีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นบริเวณหุบเขาที่จมน้ำรวมถึงกำแพงที่ยาวประมาณ 3 กิโลเมตร ซึ่งกั้นอยู่บนยอดเขาและมีคูลึกล้อมรอบอยู่ด้วย เชื่อว่าพื้นที่ดังกล่าวน่าจะเป็นตำแหน่งของวิหารแห่งเมืองแอตแลนติส

 

          แต่การค้นพบของซาร์แมสต์ก็ถูกโต้แย้งโดยคริสเตียน ฮูบเชอร์ (Christian Huebscher) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ฮูบเชอร์กล่าวว่าพื้นที่ที่ซาร์แมสต์พบนั้นเป็นปรากฏการณ์เมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว ที่ภูเขาไฟได้พ่นดินโคลนออกมา

 

          โดยก่อนหน้านี้นักสำรวจได้พุ่งเป้าที่ชายฝั่งของสเปน คิวบา และทางตะวันตกของเกาะอังกฤษ ไม่เว้น แม้กระทั่งทะเลจีนใต้ โดยงานสำรวจที่เป็นชิ้นเป็นอันก่อนหน้านี้คือ ภาพถ่ายดาวเทียมบริเวณ อุทยานแห่งชาติดอนานาของสเปน (Donana) จากนักโบราณคดี มหาวิทยาลัยเอดินเบอร์ก (University Edinburgh) ของอังกฤษ ซึ่งภาพดังกล่าวได้พบสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่รูปสีเหลี่ยม 2 หลังจมอยู่ในโคลนใต้ทะเล โดยพบโลหะที่มีรัศมีเป็นวงกลมและมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ล้อมรอบ ทีมวิจัยในครั้งนั้นเชื่อว่าสิ่งก่อสร้างทั้ง 2 คือวิหารทองคำที่ชาวแอนแลนตีสสร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพโพเซดอน และวิหารเงินเพื่อบูชาพระนางไคลโต อันเป็นผู้ถือกำเนิดกษัตริย์ที่ปกครองนครแอตแลนติสซึ่งหลังที่ภาพถ่ายดาวเทียมได้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว ทว่าพื้นที่ดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับการขุดพิสูจน์แต่อย่างใด ดังนั้นแอตแลนติสจึงเป็นตำนานอันลี้ลับ ให้มนุษย์ได้ศึกษาค้นคว้ากันต่อไป

 

          ต่อมาในบทแปลหนึ่งที่เป็นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติส ซึ่งพระอียิปต์รูปหนึ่งเล่าให้รัฐบุรุษกรีกชื่อ โซลอน ( Solon ) ฟังมีบันทึกเก่าแก่ของเรา เรื่องราวในอดีตแสนไกลว่า เมืองของท่านสกัดการบุกของกองทัพอันเกรียงไกรจากเกาะแสนไกลในมหาสมุทรแอตแลนติกได้อย่างไร กองทัพยิ่งใหญ่ที่มุ่งมั่นโจมตียุโรปทั้งหมด และเอเชียด้วย เอาละ เกาะนี้เป็นเกาะใหญ่มาก ใหญ่กว่าแอฟริกา และเอเชีย รวมกัน และตั้งอยู่ตรงข้ามกับช่องแคบระหว่างเสาหินของเฮอคิวลีส

 

          เกาะแอตแลนติส ปกครองโดยตระกูลกษัตริย์ที่ทรงอำนาจ ที่ปกครองมิใช่เพียงเกาะนี้ แต่เกาะอื่นๆ และบางส่วนของแผ่นดินใหญ่ด้วย ราชวงศ์กษัตริย์ที่ปกครองแอฟริกาเหนือ ไกลออกไปถึงอียิปต์ และยุโรปใต้ไกลออกไปถึงอิตาลี

 

          ราชวงศ์ผู้ปกครองแอตแลนติสเป็นเชื้อสายของเทพโพซีคอนที่แบ่งดินแดนให้โอรสสิบองค์ปกครอง โอรสองค์โตเป็นกษัตริย์ของเกาะทั้งหมด เกาะที่มีชื่อเรียกว่าแอตแลนติส ส่วนมหาสมุทรยังเรียกเป็นแอตแลนติก เพราะว่ากษัตริย์พระองค์แรกชื่อ แอตลาส (Atlas) โอรสองค์อื่นๆ ได้รับการจัดสรรดินแดนให้ปกครองทุกองค์ เชื้อสายของกษัตริย์แอตลาสเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก เป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวย และทรงอำนาจอย่างที่ไม่เคยมีราชวงศ์ใดเคยทำได้มาก่อนหรือจะมีขึ้นอีก

 

          ชาวแอตแลนติสไม่เพียงแต่สั่งสินค้าส่วนใหญ่จากภายนอก แต่พวกเขาเองก็ผลิตแทบจะทุกสิ่งได้ที่จำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน โลหะแข็ง โลหะอ่อน และโลหะซึ่งเหลือแต่ชื่อคือโอริชาลคัม โลหะที่มีค่ามากที่สุด ยกเว้นทองคำและแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ มีต้นไม้สีเขียวทุกหนแห่ง อากาศที่แสนวิเศษ ทำให้ผลไม้สุกปีละสองครั้ง ในแผ่นดินมีช้างและสัตว์อื่นๆ มากมาย ทั้งสัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยง นครบนเขากลางเกาะ มีเส้นผ่าศูนย์กลางสามพันฟุตและเป็นนครอันชวนพิศวง สะพานถูกสร้างข้ามช่องแคบทะเลโดยโพซีดอน คลองถูกขุดจากนครสู่ทะเล และป้อมปราการเคลือบด้วยตะกั่ว ทองเหลือง และโอริชาลคัมสีแดง

 

          และ ณ ตำแหน่งใจกลางนครคือ มหาราชวังและวิหารยิ่งใหญ่แห่งเทพโพซีดอน สถานศักดิ์สิทธิ์ ล้อมรอบด้วยกำแพงทอง ปกคลุมด้วยเงิน เด่นเป็นสง่าด้วยหอคอยทองคำเหนือหลังคางาช้าง ภายในวิหารมีอนุสาวรีย์ทองคำขององค์เทพ ขนาดใหญ่โตมโหฬารจนกระทั่งสัมผัสหลังคาวิหาร ลากด้วยม้ามีปีกหกตัว ล้อมรอบด้วยเทพแห่งทะเลเป็นจำนวนร้อยขี่ปลาโลมา และที่ด้านนอกวิหาร มีอนุสาวรีย์ทองคำเจ้าชายแห่งแอตแลนติสทุกองค์พร้อมด้วยชายา

 

          ในเกาะมีน้ำพุร้อนและเย็น สำหรับอาบเป็นน้ำพุประดับ สวนสาธารณะและสวนผลไม้ มีที่สำหรับออกกำลังกายสำหรับบุรุษและม้า สนามม้าแข่งขนาดใหญ่ โรงทหาร ห้องคนเฝ้ายาม อู่เรือ ท่าเรือ เต็มไปด้วยเรือสิน ค้าและเรือทหาร

 

          ที่ราบรอบนครล้อมรอบด้วยภูเขาและคลองหลายคลองลึกหนึ่งร้อยฟุต กว้างหกร้อยฟุต ทั้งหมดรวมกันแล้วยาวมากกว่าสามพันไมล์ แล้วกษัตริย์ทั้งสิบผู้ครองเกาะร่วมประชุมกัน ให้สัตย์ปฏิญาณต่อกันว่า จะช่วยเหลือกันเมื่อเผชิญกับสงครามและพวกเขามีรถศึกหนึ่งหมื่นคัน กองทัพเรือมีเรือมากกว่าหนึ่งพันลำ

 

          เวลาผ่านไปหลายชั่วอายุสมัย ผู้คนแห่งเกาะเป็นพลเมืองผู้เคารพกฎหมาย กษัตริย์ของพวกเขาก็ปกครองอย่างชาญฉลาดและยุติธรรมไม่ให้คุณค่าแก่ทรัพย์สมบัติ ยกย่องคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ส่วนที่ดีแห่งจิตวิญญาณของพวกเขาก็ลดน้อยถอยลงไปและในหัวใจมีแต่ความทะเยอทะยานอย่างไม่คำนึงถึงกฎหมาย คลั่งไคล้หลงใหลในอำนาจ

 

 

          จนกระทั่ง ซูส กษัตริย์แห่งทวยเทพ ตระหนักถึงความเสื่อมทรามที่กำลังเกิดกับชนชาวแอตแลนติส ตั้งพระทัยจะลงโทษพวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้มีสติขึ้นมาอีก ซูสจึงเรียกทวยเทพมาชุมนุมกัน  ดังนั้นกองทัพแห่งแอตแลนติสจึงรวมกำลังกัน มุ่งหวังจะพิชิตเฮลลาสและอียิปต์ รวมทั้งฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งหมด และแล้วมันก็เกิดขึ้นพระอียิปต์ปลอบใจโซลอนบุรุษแห่งเอเธนส์ได้แสดงออกถึงความกล้าหาญและความเก่งกล้าต่อโลก ในตอนแรกและในฐานะผู้นำของเฮลเลนส์ และแล้วก็ยืนอยู่อย่างเดียวดาย เมื่อถูกคนอื่นๆ ผละหนีหาย หลังจากที่ได้เผชิญกับสุดยอดแห่งภยันตรายแล้ว เขาก็สามารถเอาชนะฝ่ายรุกรานได้ และสร้างอนุสรณ์สถานเอาไว้ รักษาความเป็นอิสระแก่คนจากความเป็นทาส และปลดปล่อยคนอื่นๆ จากความเป็นทาส

 

          แต่แล้วก็เกิดมหัตภัยธรรมชาติ แผ่นดินไหวและน้ำท่วมใหญ่ ทั้งวันและคืนที่โหดร้าย แผ่นดินแยกและกลืนกินชีวิตนักรบของเอเธนส์ทั้งหมด ในขณะที่เกาะยิ่งใหญ่แห่งแอตแลนติสก็จมหายไปในทะเล และมาถึงทุกวันนี้ น้ำมหาสมุทรที่ตำแหน่งนั้นก็ตื้นเขิน เรือผ่านไม่ได้กลายเป็นสันดอนดินโคลน ซึ่งเกิดจากแผ่นดินเมื่อเกาะถล่ม

 

 

ที่มา: unigang.com และ cakecoong.exteen.com


Admin : Maimai
view
:
3001

Post
:
2014-05-23 11:21:17


ร่วมแสดงความคิดเห็น