หลังหายไปถึง 2 วัน ตอนนี้เราได้นำตอนที่ 2 ของ 27 เรื่องเล่าลี้ลับตำนานต่างประเทศ กันแล้ว เอาล่ะเพื่อไม่ให้เสียเวลาก็ขอต่อกันในอันดับที่ 11 กันเลย
11.The Living Severed Head
เป็นความเชื่อของคนหลายคนทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแค่อเมริกา โดยเชื่อว่าเมื่อคนโดนตัดหัวหลุดจากบ่า แต่แล้วหัวนั้นมันมีชีวิตอยู่ระยะหนึ่ง มันยังคงพะงาบๆ และมันเหลือบมองหน้าคนตัดอย่างอาฆาต!! และมันก็เกิดขึ้นจริงซะงั้น!! เมื่อหัวเราหลุดจากบ่า เรายังมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม เราสามารถกระพริบตา พะงาบๆ สมองยังทำงานได้ไหม
เรื่องเหล่านี้เริ่มขึ้นในช่วงที่กิโยตินหรือเครื่องตัดหัวเป็นที่นิยมใช้ประหารนักโทษ ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นการประหารที่ทำให้ผู้ถูกประหายตายอย่างรวดเร็ว หมดจด สมองไม่เสียหาย เวลาประหารแต่ละทีจะทำท่ามกลางประชาชนที่มามุมแน่นขนัด และนั้นเองทำให้พวกเขามีโอกาสเห็นหัวยังมีชีวิต หนึ่งในนั้นคือ สมัยปฏิวัติฝรั่งเศส วันที่ 17 กรกฎาคม 1793 สาวนาม ชาร์ล็อตต์ คอร์เดย์ (Charlotte Corday) สาวบ้านนอกที่ทำการฆาตกรรม พอล มารัต (Jean-Paul Marat) เธอถูกประหารด้วยกิโยติน หลังจากคมมีดตัดเอาศีรษะเธอกระเด็นออก ผู้ช่วยประหารคนหนึ่งหยิบหัวเธอมา แล้วตบแก้ม พยานโดยรอบยืนยันว่าดวงตาของเธอกลอกมามองเขาพร้อมกับสีหน้าไม่พอใจและได้พูดคำว่า “ไม่ได้” (couldn) หลังจากนั้น ผู้คนที่จะถูกประหารด้วยกิโยตินก็จะถูกขอให้กระพริบตา ผลคือมีนักโทษหลายคนแสดงให้เห็นว่าแม้ถูกตัดหัวตนก็ยังมีชีวิตอยู่
ใน 1905 จากหลักฐานต่างๆ สามารถสรุปได้ว่าแม้ถูกตัดหัวแล้ว สมองของคุณยังคงสามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้หลายวินาทีก่อนที่จะตาย โดยหนึ่งในนั้นมาจากงานทดลองของดอกเตอร์ โบเรียคซ์ (Beaurieux) ผู้ซึ่งทำทดลองจากฆาตกรฝรั่งเศสชื่อ แลงกุยล์เลอ (Languille) หลังจากเขาถูกแท่นตัดคอนักโทษด้วยเครื่องประหารด้วยกิโยติน (แท่นตัดคอนักโทษที่ถูกออกแบบให้ประหารแบบมนุษยธรรม) ตาของแลงกุยล์เลอและปากยังคงขยับดำเนินต่อไปนานถึงห้าถึงหกวินาที และต่อมาเมื่อโบเรียคซ์ ตะโกนเรียกชื่อนักโทษก็พบเรื่องน่าขนลุกเมื่อตาของแลงกุยล์เลอเปิดออกครั้งและจ้องมองเขา ทำให้เกิดความเชื่อว่าเมื่อคนหัวขาดอาจสามารถคลองสติได้ 15 วินาที
แพทย์สมัยใหม่เชื่อว่าปรากฏการณ์ดังกล่าวเกิดจากการ reflex ของกล้ามเนื้อ (คือกล้ามเนื้อกระตุกจากการสูญเสียเลือดหรือการควบคุม ทำให้ตากระพริบหรือกลอก) ไม่ใช่สติรู้ตัว แม้สมัยนี้กิโยตินถูกยกเลิกแล้ว แต่ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก เมื่อมีเหตุการณ์อุบัติเหตุเกิดขึ้น เช่นในเดือนมิถุนายนปี 1989 เมื่อคนสองคนนั่งแท็กซี่แล้วประสบอุบัติเหตุชนกับรถบรรทุก เพื่อนถูกตัดศีรษะออก ส่วนอีกคนที่รอดได้พบเหตุการณ์น่าสยอง เธอได้เล่าเรื่องนี้หลังรอดชีวิตว่า “หัวนั้นหงายหน้ามองฉัน ฉันยังสังเกตว่าปากของเขาพยายามพูดสื่อสารอะไรบางอย่างกับฉันอยู่ แม้ตอนนั้นฉันกำลังสับสน หวาดกลัวและเศร้าโศก แต่ฉันไม่พูดเกินความจริง เขายังกะพริบตาและจ้องกับฉัน ก่อนที่หัวนั้นจะหลับตาลงและไม่ตื่นอีกเลย”
12.Buried Alive
เรื่องเล่ากันว่ามีหญิงชายคนหนึ่งแต่งงานกัน และอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขจนกระทั้งแก่เฒ่า จนกระทั่งวันหนึ่งภรรยาของเขาได้จากไป เขาจัดพิธีศพตามหลักศาสนาคริสต์คือนำศพของเธอมาฝังในโลงศพอย่างดีมาฝังในสุสานเพื่อให้เธอพักผ่อนถาวร เรื่องคงจบแต่เพียงเท่านี้ หากแต่ไม่เมื่อดึกคืนหนึ่งในขณะที่ฝ่ายชายนอนหลับ เขาได้ฝันน่ากลัวเข้า เมื่อเขาเห็นภรรยาที่อยู่ในโลงศพลืมตาดื่นขึ้น เธอพยายามตะเกียดตะกายเพื่อออกจากโลงที่ถูกฝังในดิน ความมืด ความแคบ อาการน้อยลงทุกที ทำให้เธอกลายเป็นบ้า เธอกำลังร้องชื่อเขาเพื่อมาช่วยเหลือเธอ
ฝ่ายชายฝันร้ายแบบนี้ทุกค่ำคืน จนกระทั้งทนไม่ไหว เขาเลยร้องขอให้แพทย์และหน่วยงานท้องถิ่นนำโลงศพของภรรยาของเขาออกมา และเมื่อทั้งหมดเปิดฝาโลงก็ตะลึงเมื่อศพภรรยาของเขาไม่ได้เน่าเบื่อ ซ้ำที่เบิกตาโพลง ทำหน้าตาหวาดกลัว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ที่เล็บมีเลือดเกรอะกรัง และที่ฝาโลงด้านในมีรอยขีดข่วนชัดเจน
มันเป็นจริงซะงั้น! เรื่องของศพที่คิดว่าตายแล้วนำมาฝังตามพิธีกรรมทางศาสนา หากแต่ต่อมากลับพบว่าผู้ตายนั้นไม่ได้ตายจริง และกลับมาคืนชีพในโลงศพและพยายามตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด เรื่องราวเหล่านี้ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์สยองขวัญมากมาย แต่ที่น่าแปลกคือเรื่องเหล่านี้กลายเป็นจริงอีกทั้งมีมากกว่าหนึ่งกรณี สาเหตุง่ายมากก็เพราะสมัยก่อนนั้นการตรวจสอบผู้ตายนั้นตายจริงหรือไม่ นั้นไม่ค่อยทันสมัย ทำให้มีการฝังในโลงศพทั้งๆ ที่ผู้ตายคนนั้นแค่ตายชั่วขณะ และนี้คือตัวอย่างของผู้มีประสบการณ์ฝังทั้งเป็นที่ฟื้นคืนชีพในโลงศพที่ถึงฝังในดินอย่างน่าสยดสยอง
ปี 1851 เวอรจิเนีย เเมคโดเนล (Virginia Macdonald) อาศัยอยู่กับพ่อแม่ของเธอในนิวยอร์กซิตี้และป่วยตายเธอถูกนำไปฝังในสุสานกรีนวู๊ด (Greenwood) บรู๊คลิน นิวยอร์ค อเมริกา หลังจากพิธีฝังศพผ่านไป แม่ของเธอกลับบอกคนอื่นว่าเธอเชื่อว่าลูกของเธอไม่ตาย เธอพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนครอบครัวของเธอทนไหมไหวเลยต้องขุดโลงศพเปิดฝาโลงให้แม่ของเธอหายข้อข้องใจซะ แต่ปรากฏว่าพวกเขาพบว่าศพของเวอจิเนียนั้นยังไม่เน่า เธอคืนชีพในโลงและพยายามตะเกียดตะกาย ที่มือของเธอนั้นสภาพเละอย่างไม่มีชิ้นดี แสดงให้เห็นว่าเธอพยายามทำลายโลง แต่ล้มเหลวและขาดใจตายไปเสียก่อน (ปล. หลังจากนั้นป่าช้าแห่งนี้ได้ถูกย้ายไปที่แห่งใหม่ หลายโรงถูกนำมาตรวจสอบก็พบว่ามีศพหลายศพที่ถูกฝังทั้งเป็นจำนวนมาก)
13.เฟาสท์ (Faust)
Faust เป็นตัวละครเอกในนิยายเร้นลับโด่งดังของนักเขียนเยอรมันชื่อ โยฮันน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเธ บทละครอมตะของโลก ซึ่งจัดเป็นวรรณกรรมชิ้นเอกของเยอรมันที่มีความสำคัญเทียบเท่ากับงานของกวีโลกเช่น โฮเมอร์ ดันเต้ และเชคสเปียร์
เรื่องราวเกี่ยวกันเฟาสท์ ได้มีการเล่าขานเป็นตำนานพื้นบ้านที่น่าตื่นเต้นที่มีสีสัน เนื้อหาสำคัญอยู่ที่ว่า เฟาสท์เป็นเหมือนศาสดาผู้มีความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องราวของชายผู้มีความรู้ท่วมตัว และทะเยอทะยานที่ไม่มีที่สิ้นสุด วันหนึ่งโชคชะตาชักนำให้เขาพบกับเมฟิสโต้ (Mephistopheles) ปีศาจผู้สงสัยในอำนาจของพระเจ้า และเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ หากไม่หลงเชื่อในภาพลวงตาแห่งสวรรค์ ที่พระเจ้าเสกสรรปั้นแต่งขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์คับขันที่ต่างฝ่ายต่างมีภารกิจ ที่จะต้องสนองตัณหาของตนเอง เฟาสท์จึงยอมขายวิญญาณให้แก่เมฟิสโต้เพื่อแลกกับความเป็นหนุ่มอีกครั้งและ นี่คือจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม
เฟาสท์นั้นเป็นบุคคลที่มีชีวิตจริงอยู่ในศตวรรษที่ 16 มีอีกชื่อหนึ่งคือ ดร.เฟาสต์ (Dr.Faust) เป็นผู้ศึกษาด้านเวทมนต์อำนาจมืด เขาถูกกล่าวหาว่าคบหากับซาตาน
14.บูกี้แมน (Boogeyman)
Boogeyman หรือ บูกี้แมน นั้นค่อนข้างมีอยู่หลายชื่อ เนื่องจากมันปรากฏตัวทั่วโลก เช่นboeman (เดนมาร์ก), buse (นอร์เวย์), bòcan, púca, pooka or pookha (Irish Gaelic), pwca, bwga or bwgan (เวลล์), puki (Old Norse), pixie or piskie (Cornish), puck (อังกฤษ), bogu (Slavonic, buka Russian) โดยมันเป็นผี/ปีศาจที่มีความโหดร้านเลือดเย็น บูกี้แมนไม่มีตัวตนจริงๆ มันสามารถเปลี่ยนรูปร่างต่างๆ ได้ และสามารถผ่านเข้าไปได้ทุกๆ ที่ บางที่อาจเป็นเพียงธุลี ปลิวเข้าทางช่องหน้าต่างหรือรูกุญแจ บางทีอาจเป็นเงารางๆ แต่มันสามารถฆ่าคนได้ และมีความเชื่อว่าพวกฆาตกรต่อเนื่องหรือซีเรียล คิลเลอร์ที่ก่อคดีฆาตกรรมมากมายนั้นคือบูกีแมนนั้นเอง บูกี้แมนนั้นยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่จะเอาไว้หลอกเด็กๆ ให้เกิดความกลัวเวลาเล่นซน
บูกี้แมนนั่นมาจากเรื่องจริงในแถบเกาะชวาหรือมาเลเซีย ซึ่งชาวอังกฤษเข้ามายึดครองพื้นที่แถบนี้ โดยบูกี้แมนนั้นมาจาก บูกีส (Bugis) ที่เป็นโจรสลัดในแถบนั้นที่มีความโหดร้ายและปล้นฆ่านักเดินทางอยู่ในย่านนั้น สร้างความหวาดกลัวเป็นอันมาก จนมีคำขู่กับลูกเรือที่นอกลู่นอกทางกันว่า “เดี๋ยวบูกิสจะมาเอาชีวิต” จนกระทั้งความหวาดกลัวที่มีต่อบูกิสติดตามมายังอังกฤษ
15.House so Haunted
หนึ่งในเรื่องเล่าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในอเมริกาและทั่วโลก ที่เล่ากันว่าให้ระวังการซื้อบ้านมือสอง ที่มีขนาดใหญ่หรือเป็นคฤหาสน์ที่เปลี่ยนมือเจ้าของหลายราย ไม่งั้นจะได้สิ่งไม่พึ่งปรารถนาแถมมาด้วย นั่นก็คือวิญญาณร้ายที่สิ่งสถิตในบ้านหลังนั้นที่จะทำให้เจ้าของหรือผู้อยู่อาศัยต้องขวัญผวาจนผู้อยู่อาศัยต้องย้ายออกไปทุกครั้ง
นอกจากนี้ในหมู่เด็กๆ ก็มักจะเล่าถึงบ้านขนาดใหญ่ร้างคนว่าใครก็ตามที่เข้าไปในบ้านหลังดังกล่าวจะไม่สามารถกลับออกมาอีกเลย เพราะมันเป็นบ้านกินคนที่มักกินคนที่หลงเข้ามาในบ้าน และสถานที่คาดว่ามีผีสิงคาดว่าจะอยู่ มิชิแกน, โอไฮโอ และแคลิฟอร์เนีย และเรื่องที่โด่งดังที่สุดคงจะไม่เกินไปกว่าเรื่องของ บ้านอมิตี้วิลล์ โอนอเวนิว ทางใต้ของนิวยอร์ค ซึ่งเป็นบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล ที่ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 แต่เมื่อ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 และได้เกิดการฆาตกรรมหมู่ครอบครัวหนึ่งจากนั้นเป็นต้นมาที่นี่ก็กลายเป็นบ้านผีดุไปในบัดดล โดยที่โด่งดังที่สุดคือกรณีของครอบครัวของจอร์จ ลัทซ์ก็อาศัยอยู่บ้านหลังนี้และพบเหตุการณ์ประหลาดแทบทุกคืนไม่ว่าจะเป็นเสียง รอยเท้า ผีอำ ฯลฯ จนครอบครัวนี้ทนไม่ไหวจนต้องย้ายบ้านในเวลา และเรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์โด่งดังหลายเรื่อง
16.The Blair Witch Project
ตำนานแม่มดแห่งเมืองเบลล์เป็นในตำนานเมืองที่ปรากฏในภาพยนตร์ The Blair Witch Project เป็นภาพยนตร์ในแนวสารคดี ความยาว 86 นาที ออกฉายในปี ค.ศ.1999 และเข้าฉายในประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ในชื่อสอดรู้สอดเห็น สอดเป็นสอดตาย โดยเนื้อหาเป็นการถ่ายแบบกล้องวีดีโอเคลื่อนฟิล์ม 16 มม โดยเทปบันทึกไว้เมื่อ ในวันที่ 21 ตุลาคม ค.ศ.1994 โดยนักศึกษา 3 คน ประกอบไปด้วย ฮีเธอร์, โจซัว, ไมเคิล ได้เข้าไปในป่าแบล็กฮิลล์ มลรัฐแมรี่แลนด์ เพื่อถ่ายทำภาพยนตร์สารคดีเรื่องแม่มดเบลล์ อันเป็นตำนานความเชื่อของคนพื้นถิ่น หากแต่ในเวลาต่อมาทั้งสามกลับหายตัวไปอย่างลึกลับ
จากนั้นหนึ่งปีให้หลัง หลักฐานต่างๆ ก็ถูกค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นตลับฟิล์ม กล่องฟิล์ม กล้องขนาด 8 มม. และขนาด 16 มม. ซึ่งถ่ายทำวันที่ทั้งสามหายตัวไป และเมื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายก็เกิดกระแสทำให้คนเชื่อว่าเรื่องภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หากแต่ความจริงแล้วเนื้อหาในภาพยนตร์ทั้งหมดเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น โดยโฆษณาว่าเป็นเหตุการณ์จริงเพื่อกระตุ้นรายได้ภาพยนตร์ ผลก็คือมันได้ผลเพราะหนังประสบผลสำเร็จอย่างงดงาม
ความจริงแล้วตำนานแม่มดแห่งเมืองเบลล์นั้นเป็นเรื่องจริง เป็นตำนานเมืองของป่าแบล็กฮิลล์ มลรัฐแมริแลนด์ ที่ว่ากันว่าป่าแห่งนั้นมีแม่มดหรือหญิงชราวิกลจริตอาศัยอยู่ที่นั่นและมักปรากฏตัวให้ผู้คนที่เข้ามาในป่าแห่งเสมอ และบางครั้งอาจมาในสภาพครึ่งคนครึ่งสัตว์ประหลาด โดยมีข่าวลื่อมากมายว่ามีเด็กหายไปในป่าแห่งนั้นหลายราย บางรายก็ปรากฏตัวออกมาในสภาพเป็นศพที่ถูกคว้านไส้พุงออกมาอย่างหมดจด
17.Babysitter Upstairs
เป็นเรื่องเล่าที่ฮิตของอเมริกาตลอดกาลที่เกี่ยวกับหญิงสาวที่รับเลี้ยงเด็กเวลาพ่อแม่ไม่อยู่บ้านในตอนกลางคืน โดยเฉพาะคืนนั้นเป็นคืนที่มีพายุหนัก และบ้านที่รับจ้างขนาดใหญ่ที่ว่าจ้างให้เธอรับเลี้ยงเด็ก และเมื่อเด็กนอนหลับเธอก็เริ่มได้รับโทรศัพท์แปลกโทรมา เมื่อเธอรับ เธอก็ตกใจมากเมื่อปลายสายบอกว่าเขาจะมารับเธอ ด้วยความตกใจเธอเรียกตำรวจไม่กี่นาทีต่อมาตำรวจก็มาถึง ตำรวจเรียกเธอเพื่อบอกสิ่งที่พวกเขาสืบ โดยพวกเขาบอกเธอว่าสายมาจากภายในบ้าน และบางทีมันอาจจะอยู่ข้างบนบ้านแต่กระนั้นจะการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ก็ไม่พบคนแปลกหน้าอยู่ในบ้านเลยสักคน และนี้คือหนึ่งในเรื่องที่นิยมจนถูกนำไปทำภาพยนตร์สยองขวัญในเวลาต่อมา
18.Three men and baby
เป็นภาพยนตร์ที่ฉายในปี 1987 (มีการรีเมคใหม่ แต่มันก็สู้ของเดิมไม่ได้เพราะมันไม่ถ่ายติดผี ) โดยเนื้อหาเป็นเรื่องราวของสามหนุ่มที่อาศัยอยู่ด้วยกันในอพาร์ทเมนท์ที่ต้องเลี้ยงดูเด็กทารกที่ถูกนำมาทิ้งที่หน้าบ้านอย่างไม่คาดฝัน ภาพยนตร์นี้ดังมาก หากแต่ที่ดังเพราะไม่ใช่เนื้อหาหรือการแสดงของตัวละครในเรื่อง แต่ดังตรงที่มีฉากหนึ่งมีสิ่งที่ไม่พึ่งปรารถนาติดมาด้วย
ฉากที่ว่าเป็นช่วงเกือบสุดท้ายของภาพยนตร์เป็นฉากที่ แจ๊ค โฮลเด้น (Ted Danson ) และแม่ของเขา (Celeste Holm ) กำลังเดินไปหาทารกน้อยที่อยู่บนเตียงนอนให้สังเกตว่าตอนที่เดินนั้นมีปืนลูกซองอยู่ที่หน้าต่างที่มีผ้าม่านด้านซ้าย (ภาพเร็วมาก) จากนั้นเมื่อทั้งสองไปถึงทารกน้อย แม่ของเขาก็จับทารกขึ้นมาอุ้ม (สังเกตว่าด้านหน้าของฉากมีพระพุทธรูปไทยตั้งอยู่) จากนั้นแม่ของเขาก็อุ้มเด็กเดินกลับมาที่หน้าต่างที่มีปืนลูกซองวางยู่ จากนั้นให้สังเกตฉากที่หน้าต่างซ้ายมือที่ตอนแรกมีปืนลูกซองวางอยู่ตอนแรกได้หายไปและกลับกลายเป็นว่ามีเด็กชายแปลกหน้าลึกลับใส่เสื้อสีขาวและกางเกงสีดำกำลังยืนอยู่หลังม่านติดมาด้วยแทน!! (ปรากฏตัว 40 วินาทีในหนัง) หลังจากภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายก็สร้างความฮื่อฮาต่อฝูงชนมาก และทีมงานภาพยนตร์ก็ยื่นยันว่าโดยที่ถ่ายทำฉากที่ว่าไม่มีคนนอกที่ไหนเข้ามาในกล้องเด็ดขาด นอกจากนักแสดงในฉากนั้น และเมื่อเรื่องนี้หาคำตอบไม่ได้ทำให้เรื่องนี้โด่งดังในฐานะตำนานเมืองในปี 1990 โดยเล่ากันว่าเป็นลูกชายเจ้าของบ้านที่ถ่ายทำภาพยนตร์ที่ฆ่าตัวตายเพราะปืนลูกซองที่เอามาเล่นจนเกิดอุบัติเหตุลั่นใส่จนเสียชีวิต บางก็ว่าเป็นเด็กตกตึกตายเมื่อหลายปีก่อน แต่กระนั้นหลังจากผีในภาพยนตร์เรื่องนี้โด่งดังก็มีผีอีกจำนวนมากที่ถูกฝ่ายติดในกล้องวีดีโอ
และแล้วเรื่องนี้ก็ได้รู้ความจริงเมื่อปืนที่พบกับเด็กชายตรงหน้าต่างจริงๆ แล้วเป็นเพียงคัตเอาท์เท่านั้น แต่ด้วยมุมกล้องบวกกับลมที่พัดในตอนนั้นจนเกินเรื่องประหลาด
19.The Hook
เป็นตำนานที่โด่งดังในช่วง 1940 เกี่ยวกับการการเตือนเกี่ยวกับหนุ่มสาวที่ร่วมรักกันในรถข้างทางเปลี่ยว และเรื่องเล่านี้ก็กลายเป็นจริงอีกด้วย
เรื่องราวมีอยู่ว่ามีหนุ่มสาวคู่หนึ่ง เป็นผู้ชายหล่อและสาวเป็นเชียร์ลีดเดอร์ผมสีบลอนด์ พวกเขาเป็นแฟนกันและตอนนั้นทั้งคู่กำลังขับรถกินลมชมวิว ฟังเพลงโรแมนติกอยู่ และด้วยบรรยากาศเป็นใจทั้งคู่เกิดอารมณ์ ทั้งคู่จูบอย่างดูดดื่มและมีความรู้สึกอยากร่วมรัก ทั้งคู่เลยคิดจะจอดรถทางเปลี่ยวที่ไหนสักแห่งเพื่อทำกิจที่ว่า ในระหว่างที่พวกเขากำลังหาที่เปลี่ยวนั้นเอง เพลงโรแมนติกก็หยุดลงพร้อมกับข่าวด่วนว่ามีคนบ้าหนีออกมา โดยแจ้งลักษณะไปว่าให้มองหาคนผอมแห้งตัวสูงท่าทางปวกเปียกและมือซ้ายเป็นมือตะขอ
หญิงสาวกลัวข่าวนั้นเธอขอฝ่ายชายให้พาเธอกลับบ้าน แต่ฝ่ายชายบอกว่าไม่ต้องกลัว ฆาตกรที่ว่านั้นอยู่ไกลเกินกว่าจะมาที่นี้ได้ และเมื่อถึงที่เหมาะทั้งสองก็ร่วมรักกัน เมื่อเวลาผ่านไปทันใดนั้นเองหญิงสาวได้ยินเสียงขูดนอกรถ เสียงได้ดังใกล้เข้ามา หญิงสาวเริ่มรู้สึกกลัวเธอบอกให้แฟนหยุดกิจกรรม แต่แล้วเสียงก็เงียบไป ทั้งคู่หันไปที่ด้านหลังรถก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ แต่หญิงสาวกังวลเธอเลยบอกแฟนหนุ่มออกรถหนีไปจากที่นี้ซะ แฟนหนุ่มเลยต้องออกรถตามหญิงสาวขอ และเมื่อทั้งคู่ไปสถานที่ปลอดภัย ก็พบว่าที่ประตูรถของพวกเขามีมือตะขอเกี่ยวอยู่ (นอกจากนี้เรื่องนี้อาจมีการเพิ่มเรื่องสยองขวัญขึ้น เช่น ระหว่างที่แฟนหนุ่มกำลังพูดหญิงสาวเรื่องได้ยินเสียงขูดอยู่นั้น ทันใดนั้นเธอก็สะดุ้งเมื่อได้เห็นตะขอปลายแหลมคลั่งได้ผลักประตูรถ คนบ้าฆาตกรมือตะขอกำลังอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว และแล้วประตูรถก็เปิดออกมันใช้ตะขอเกี่ยวแฟนหนุ่มของเธอออกนอกรถ หญิงสาวกรีดร้องและปิดประตู แล้วตั้งสติออกรถทันทีโดยไม่ทันไปมองแฟนหนุ่มของเธอและเมื่อเธอกลับมาถึงบ้านเธอก็พบว่าประตูจับรถนั้นเปื้อนเลือด มันเป็นเลือดของแฟนหนุ่มนั่นเอง)
และนี้คือเรื่องเล่าในตำนานที่ถูกไปสร้างภาพยนตร์มากมาย อีกทั้งยังกลายเป็นจริงอีกด้วย เมื่อฆาตกรเช่น ฆาตกรจักรราศี (Zodiac Killer) ฆาตกรต่อเนื่องซึ่งก่อเหตุในช่วงปลายทศวรรษที่ 1960 ในแถบพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือจะเป็นฆาตกรล่องหน (Phantom Killer) ฆาตกรต่อเนื่องที่เชื่อว่าเขาได้ฆ่าคนจำนวนหนึ่งในเขตมหานครเท็กซาร์คานาระหว่างวันที่ 23 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 4 เมษายน 1946 ที่ฆาตกรสองรายล้วนชอบฆ่าหนุ่มสาวที่คิดจะร่วมรักในรถทางเปลี่ยวทั้งสิ้น
20. The Automatic 4.0
เป็นหนึ่งในตำนานเมืองที่เป็นเรื่องเล่าของมหาวิทยาลัยเขตตั้งแต่ปี 1970 และถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์และซีรี่ย์อเมริกาเรื่อง Dead Man on Campus 1998 (ภาพยนตร์ห่วยได้คะแนน 15% จากมะเขือเทศเน่า) โดยเล่ากันว่าหากในโรงเรียนหรือมหาลัยแห่งใดมีเด็กนักเรียนเพื่อนร่วมฆ่าตัวตายปัจจุบันทันด่วน จะได้รับเกรดเฉลี่ย 4.0 ของภาคเรียนการศึกษาโดยอัตโนมัติทันที ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการปลิดชีพของวิทยาลัย (ใจดีพิลึก) ตำนานนี้มีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อยในเวลาต่อมาเช่นเกิดฆาตกรรมหรืออุบัติเหตุ แต่ยึดหลักพื้นฐานของเพื่อนร่วมห้องตาย= เกรดดีทั้งหมด (หมายถึงเกรด A นะไม่ใช้ D) แน่นอนเรื่องนี้ไม่เป็นจริงแน่นอนและเชื่อว่าที่มานั้นมาจากการเล่าเล่นๆเอาตลกของนักศึกษา
ที่มา: board.postjung.com