เรื่องราวเจ้าของความน่ากลัวอันดับที่ 3 ในหมู่ตุ๊กตา "แอนนาเบลล์"
2014-05-08 10:46:00

          สำหรับใครที่เคยอ่าน 10 อันดับตุ๊กตาน่ากลัว วันนี้เราขอนำเรื่องราว 1 ใน 10 ของตุ๊กตาเหล่านั้น ซึ่งตัวที่เราจะพูดถึงคือ “แอนนาเบลล์” เจ้าของอันดับที่ 3 นั่นเอง โดยแอนนาเบลล์เคยปรากฏตัวอยู่ในภาพยนตร์เรื่อง The Conjuring คนเรียกผี แต่ตัวตุ๊กตาที่เห็นคือตัวแสดงแทนแอนนาเบลล์ โดยที่แอนนาเบลล์ตัวจริงนั้นอยู่ภายในตู้ที่ถูกล็อคพร้อมป้ายเตือนของพิพิธภัณฑ์อ็อคคัลท์ของเอ็ด และ ลอเรน วอร์เรน คู่สามีภรรยา นักปีศาจวิทยาและสืบสวนเรื่องราวเหนือธรรมชาติที่โด่งดังในอเมริกาช่วงประมาณยุค 50-70

 

(ซ้ายคือแอนนาเบลล์ตัวจริง ขวาคือแอนนาเบลล์ในภาพยนตร์ The Conjuring คนเรียกผี)

 

          โดยเรื่องของแอนนาเบลล์เริ่มเมื่อปี 1970 ที่คุณแม่คนหนึ่งได้ซื้อตุ๊กตา Raggedy Ann จากร้านขายของเล่น ซึ่งจะเป็นของขวัญวันเกิดให้แก่ “ดอนน่า” ลูกสาวของเธอ ดอนน่าในขณะนั้นเป็นนักศึกษาพยาบาลที่กำลังจะจบ และพักอยู่ในอพาร์ตเม้นต์เล็กๆ กับเพื่อนสาวนามว่า “แองจี้” ซึ่งเรื่องพยาบาลเช่นกัน ด้วยความดีใจที่ได้รับตุ๊กตาดอนน่าจึงนำมันไว้ที่หัวเตียงประหนึ่งของตกแต่ง และไม่ได้นึกถึงมันอีกเลย จนอีกหลายวันต่อมาดอนน่าและแองจี้จึงเริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดและน่าขนลุกเกี่ยวกับตุ๊กตาตัวนี้ เช่นมันเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง เปลี่ยนอิริยาบถได้เอง แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้รับการสนใจในตอนแรก จนเวลาผ่านไปการเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็เริ่มเป็นที่สังเกต อย่างดอนน่าและแองจี้กลับมาที่ห้องแล้วพบว่าตุ๊กตาไปอยู่ที่ห้องอื่นที่ไม่ใช่ห้องที่พวกเธอเอามันไปวางไว้ บางทีก็พบว่าเจ้าตุ๊กตานั่งในท่าไขว่ห้างอยู่บนโซฟา มือก็กอดอก บ้างก็พบว่ามันลงมายืนอยู่บนขาตัวเอง พิงอยู่บนเก้าอี้ในห้องกินข้าว หลายครั้งที่ดอนน่าวางมันไว้ที่โซฟาแล้วออกไปทำงาน แต่พอกลับมาก็พบว่ามันไปอยู่ในห้องนอนของเธอทั้งๆ ประตูห้องปิดอยู่

 

 

          ไม่มีเพียงแค่การเคลื่อนไหวเองได้ แต่แอนนาเบลล์ก็ได้สร้างวีรกรรมไว้ในกับดอนน่าและแองจี้อย่างต่อเนื่องเช่น

 

 

ข้อความ

          เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ประหลาดเริ่มเกิดขึ้นได้ประมาณ 1 เดือน ดอนน่าและแองจี้ก็เริ่มเจอกระดาษหนังที่มีข้อความเขียนด้วยดินสอว่า “ช่วยเราด้วย” และ “ช่วยลูด้วย” ลายมือนั้นดูเหมือนเป็นของเด็กเล็กๆ เรื่องสยองไม่ได้อยู่ที่ข้อความที่เขียน แต่เป็นวิธีที่มันเขียนต่างหาก ในตอนนั้น ดอนน่าไม่เคยมีกระดาษหนังที่มันใช้เขียนอยู่ในห้องมาก่อน แล้วมันมาจากไหนล่ะ?

 

 

ร่างทรง

          คืนหนึ่งดอนน่ากลับมาที่ห้องแล้วพบว่าตุ๊กตาขยับอีกแล้ว คราวนี้มันขึ้นมาอยู่บนเตียงของเธอ ดอนน่านั้นคิดแต่ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของเจ้าตุ๊กตาไปเสียแล้ว แต่อย่างไรก็ตามคราวนี้เธอคิดว่าแปลก มีบางอย่างผิดปกติและความกลัวคืบคลานมาหาเมื่อเธอตรวจดูเจ้าตุ๊กตาแล้วพบว่ามีบางอย่างคล้ายเลือด หยดอยู่บนหลังมือและอกของมัน ของเหลวสีแดงนั้นไม่มีที่มา แต่มันน่ากลัวและดูอันตราย ดอนน่าและแองจี้จึงตัดสินใจว่าควรจะไปพบผู้เชี่ยวชาญ

 

          เมื่อไม่รู้จะทำยังไง พวกเธอจึงไปติดต่อร่างทรงและก็มีการติดต่อกับวิญญาณเกิดขึ้น ดอนน่าได้รู้จักกับวิญญาณนามว่า “แอนนาเบลล์ ฮิกกินส์” ร่างทรงเล่าเรื่องของแอนนาเบลล์ให้ดอนน่าและแองจี้ฟังว่า แอนนาเบลล์เป็นเด็กผู้หญิงที่เคยอยู่ตรงที่อพาร์ตเม้นต์ถูกสร้าง ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันแสนสุขของเธอ เธอเป็นเด็กตัวน้อยๆ วัย 7 ขวบเท่านั้น ตอนที่ถูกพบว่าไร้ชีวิตก็อยู่บริเวณทุ่งหญ้าที่ตอนนี้อพาร์ตเม้นต์ตั้งทับอยู่นั่นเอง

 

          วิญญาณสาวน้อยได้บอกกับคนทรงว่าเธอรู้สึกดีกับดอนน่าและแองจี้ ทั้งยังอยากอยู่และอยากได้รับความรักจากพวกเธอด้วย เมื่อได้ฟังเรื่องของแอนนาเบลล์แล้ว ดอนน่าก็รู้สึกเห็นใจจึงอนุญาตให้เด็กหญิงเข้ามาอยู่ในตุ๊กตาและอยู่ร่วมกับเธอได้ แต่ต่อมาไม่นานพวกเธอก็พบว่าแอนนาเบลล์ไม่ใช่เด็กใสไร้เดียงสาแบบที่พวกเธอคิดว่าจะเป็นมันคือตุ๊กตาสยองที่มาพร้อมเรื่องเขย่าขวัญต่างหาก

 

 

เรื่องของลู

          “ลู” เป็นเพื่อนกับดอนน่าและแองจี้ แน่นอนลูก็รู้เรื่องของพวกเธอตั้งแต่วันที่ได้ตุ๊กตามา ซึ่งลูไม่เคยรักใคร่เจ้าตุ๊กตานี้เลย แถมยังเตือนดอนน่าด้วยว่าเจ้าสิ่งนี้คือปีศาจและให้เอาไปทิ้งซะ แต่ดอนน่านั้นสงสารเจ้าตุ๊กตามากและไม่เชื่อสิ่งที่ลูพูดจึงยังเก็บมันไว้ เมื่อตัดสินใจดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นจึงกลายเป็นความผิดพลาดมหันต์

 

          ลูสะดุ้งตื่นขึ้นมาในคืนหนึ่งและรู้สึกหวาดผวา เขาฝันร้ายอีกแล้วแต่ครั้งนี้มีบางอย่างแปลกไป เขารู้สึกตัวเต็มตื่นแต่ขยับไม่ได้ เขามองไปรอบๆ ห้อง แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติและมันก็เกิดขึ้น! เขามองลงไปที่ปลายเท้าและพบแอนนาเบลล์ มันค่อยๆ คืบคลานอย่างช้าๆ ขึ้นมาที่ขา เรื่อยมาจนถึงหน้าอกของเขา และหยุด... เสี้ยวนาทีต่อมา มันบีบคอเขาอย่างแรง ลูสิ้นเรี่ยวแรง อ้าปากพะงาบๆ เมื่อถึงจุดที่เขาไม่สามารถหายใจได้อีก เขาก็หมดสติ เขาตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา ไม่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือความฝัน เขาเอาตัวออกห่างจากเจ้าตุ๊กตาและสิ่งชั่วร้ายที่สิงอยู่ในนั้นให้มากที่สุด อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เผชิญกับเหตุการณ์สยองขวัญของแอนนาเบลล์เพียงครั้งเดียว

 

          วันหนึ่งขณะที่กำลังวางแผนจะไปเที่ยวในวันต่อไป ลูกับแองจี้กำลังนั่งดูแผนที่กันอยู่ในอพาร์ตเมนท์ซึ่งสงบเงียบ ทันใดนั้นก็มีเสียงของแตกเหมือนมีใครบุกรุกดังมาจากห้องนอนของดอนน่า ลูไปดูว่ามีใครหรืออะไรบุกเข้ามาหรือเปล่า เขารอจนเสียงในห้องเงียบก่อนจะเข้าไปแล้วเปิดไฟ ห้องนั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลย เว้นแต่แอนนาเบลล์ที่ถูกเหวี่ยงไปอยู่มุมห้อง ลูตรวจดูรอบห้องแต่ก็ไม่เจออะไร แต่เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้เจ้าตุ๊กตา เขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันอย่างชัดเจนว่ามีใครอยู่ข้างหลังเขา เขารีบหันกลับมาดูแต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า พริบตาเดียวเขาก็รู้สึกถูกตะครุบที่หน้าอก ถึงสองครั้งเป็นรอยข่วนและเลือดไหล เสื้อของเขาชุ่มไปด้วยเลือดเมื่อเปิดออกก็เห็นว่าอกของเขามีรอยกรงเล็บ 7 รอย 3 รอยในแนวตั้ง และ 4 รอยในแนวนอน เจ็บเหมือนเนื้อไหม้ แต่รอยเหล่านี้บรรเทาลงแทบจะในทันที เหลือเพียงครึ่งเดียวในวันต่อมาและหายไปอย่างไร้ร่องรอยในสองวัน

 

 

ผู้สืบสวนเรื่องเหนือธรรมชาติ: เดอะวอร์เรน

 

(แอนนาเบลล์ (ซ้าย) และ สองสามีภรรยาวอร์เรน เอ็ดกับลอเรน (ขวา))

 

          ดอนน่าเริ่มเชื่อแล้วว่าวิญญาณที่อยู่ในห้องกับเธอนั้นไม่ใช่เด็กน้อยไร้เดียงสา แต่เป็นปีศาจโดยสันดานมากกว่าหลังจากสิ่งที่ลูเผชิญ ดอนน่าก็รู้สึกว่าต้องพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญจริงๆ จังๆ สักที และได้ติดต่อพระคุณเจ้านามว่า “คุณพ่อเฮแกน” คุณพ่อเฮแกนรู้สึกได้ถึงอำนาจลี้ลับและคิดว่าควรจะต้องหาคนที่แกร่งกล้ามากกว่าเขามาจัดการจึงติดต่อไปยัง “คุณพ่อคุก” ซึ่งเรียกหาครอบครัววอร์เรนแทบจะในทันที

 

          เอ็ด และ ลอร์เรน วอร์เรน ก็ตอบรับงานในทันทีเช่นกันและขอพบดอนน่าเพื่อเผชิญหน้ากับแอนนาเบลล์ หลังจากที่คุยกับดอนน่า แองจี้ และลู แล้ววอร์เรนทั้งสองก็สรุปได้ว่า ตุ๊กตานั้นไม่ได้ถูกสิงแต่ถูกชักใยด้วยพลังงานชั่วร้าย วิญญาณจะไม่สิงอยู่ในสิ่งของอย่างของเล่นหรือบ้าน มันจะสิงคนเพียงเท่านั้น แต่วิญญาณก็สามารถตรึงตัวเองไว้กับสิ่งของได้ เช่นในกรณีของแอนนาเบลล์ วิญญาณร้ายได้ควบคุมตุ๊กตาและสร้างภาพให้มีชีวิตเพื่อให้ได้รับการสนใจ จริงๆ แล้วมันไม่ได้อยากอยู่ในตุ๊กตา แต่มันอยากเข้าไปอยู่ในตัวคนต่างหาก

 

          วิญญาณหรือในกรณีนี้คือปีศาจชั่วร้ายจะรังควาญผู้คนเป็นหลัก แรกเริ่มก็เคลื่อนที่ตุ๊กตาไปมารอบๆ อพาร์ตเม้นต์เพื่อให้ผู้ที่อาศัยนั้นสงสัยในการมีอยู่และได้รับความสนใจ จากนั้นก็เกิดความผิดพลาดที่ไม่คาดฝันคือการนำคนทรงเข้ามาเกี่ยวข้อง ปีศาจร้ายจึงสร้างภาพเด็กผู้หญิงขึ้นมาติดต่อผ่านคนทรง และเด็กน้อยน่าเวทนานั้นก็ได้รับการยอมรับจากดอนน่าให้เข้ามาหลอกหลอนในอพาร์ตเม้นต์ได้อย่างเต็มที่ และเพราะมันเป็นปีศาจร้ายจึงเป็นที่มาของปรากฏการณ์เลวร้ายหลายอย่างที่ตามมา เริ่มด้วยท่าทางของตุ๊กตา เริ่มเขียนโน้ต ทำสัญลักษณ์โดยเอาเลือดหยดลงบนตุ๊กตา และโจมตีลูพร้อมทั้งทิ้งร่องรอยไว้ที่หน้าอก กระบวนการนี้จะดำเนินไปอีก 2-3 อาทิตย์ ก่อนจะทำการสิงสู่มนุษย์อย่างสมบูรณ์ หากไม่ทำร้าย ฆ่าใคร หรือฆ่าทุกคนในบ้านหมดเสียก่อน

 

          เมื่อได้ข้อสรุปในการสืบสวนแล้ว ครอบครัววอร์เรนคิดว่าควรจะมีการสวดเพื่อปัดเป่าวิญญาณในอพาร์ตเม้นต์โดย คุณพ่อคุก  “บทสวดสำหรับบ้านนี้ มี 7 หน้า โดยจะพูดถึงแง่บวกของธรรมชาติ มากกว่าเจาะจงจะไปขับไล่ดวงวิญญาณ แต่จะเน้นไปในด้านเติมเต็มบ้านด้วยพลังที่ดีและพลังของพระเจ้า” เอ็ด วอร์เรน กล่าวและตามคำขอร้องของดอนน่าที่ไม่อยากให้มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในบ้านของเธออีก ครอบครัววอร์เรนจึงนำแอนนาเบลล์กลับไปด้วย

 

(ภาพที่คาดว่าเป็นลอเรนได้พาแอนนาเบล์กลับเข้าบ้าน)

 

บทสรุป

          คุณพ่อคุกที่รู้สึกอึดอัดใจที่ต้องมาไล่ผีด้วยบทสวด 7 หน้าแบบนี้ แต่เขาก็ทำงานสำเร็จ หลังจากครอบครัววอร์เรนยืนยันว่าไม่มีวิญญาณร้ายหลงเหลืออยู่ในอพาร์ตเม้นต์แล้ว พวกเขาก็พาตุ๊กตากลับไปด้วย ระหว่างกลับบ้านเอ็ดนำตุ๊กตาไปวางไว้เบาะหลังและลงความเห็นว่าจะไม่เดินทางไปมาระหว่างรัฐในขณะที่ยังมีวิญญาณอยู่ในตุ๊กตาแบบนี้

 

          ความสงสัยของเขาไม่ผิดเลย ระหว่างทางครอบครัววอร์เรนรู้สึกได้ถึงความเกลียดชัง ทุกโค้งอันตรายที่ขับผ่าน เบรกและคันเร่งจะไม่ทำงาน รถหวุดหวิดจะเกือบอุบัติเหตุ เอ็ดรีบจอดรถและเปิดกระโปรงท้ายเพื่อเอาน้ำเสกศักดิ์สิทธิ์พรมตุ๊กตา ทำสัมพันธ์มหากางเขนเหนือมัน แล้วเหตุการณ์เลวร้ายก็หายไปทันที วอร์เรนทั้งสองถึงบ้านอย่างปลอดภัย

 

          เมื่อถึงบ้านเอ็ดเอาตุ๊กตาวางไว้บนเก้าอี้ ข้างโต๊ะทำงานของเขา ตุ๊กตาลอยขึ้นลงบนอากาศหลายครั้งในตอนแรกและตกลงมาเบาๆ หลายอาทิตย์ต่อมา มันเริ่มโผล่ไปห้องอื่นๆ ในบ้าน เวลาพวกวอร์เรนออกไปทำงาน พวกเขาจะล็อคมันไว้ในห้องทำงานข้างนอก เมื่อกลับมาบ่อยครั้งที่เปิดประตูบ้านแล้ว พบว่ามันนั่งอย่างสบายใจอยู่บนเก้าอี้ของเอ็ด และเจ้าตุ๊กตามักจะแสดงความเกลียดชังเวลาที่มีบาทหลวงมาที่บ้าน

 

          เช่น คุณพ่อเจสัน แบรดฟอร์ด นักไล่วิญญาณของคาธอลิคมาที่บ้าน เมื่อเห็นตุ๊กตานั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาก็หยิบมันขึ้นมา และพูดว่า “แกมันก็แค่ตุ๊กตาเน่าๆ แอนนาเบลล์ แกทำอะไรใครไม่ได้หรอก” แล้วก็โยนมันกลับไปที่เดิม ถึงจุดนี้ เอ็ดก็ร้องขึ้นมาว่า “คุณไม่ควรพูดอย่างนั้นเลย” ชั่วโมงต่อมา ก่อนเขาจะกลับ ลอร์เรนขอร้องให้บาทหลวงขับรถอย่างระมัดระวัง และโทรหาเธอทันทีที่ถึงบ้าน เธอหวาดหวั่นถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระหนุ่ม แต่เขาก็จำเป็นต้องไป ชั่วโมงต่อมา คุณพ่อเจสันก็โทรกลับมาหาลอร์เรน และบอกว่า รถของเขาเบรคแตกขณะข้ามสี่แยกไฟแดง เขาเกือบตาย รถก็พังยับ นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่กี่ปีหลังจากที่นำแอนนาเบลล์มา

 

          ครอบครัววอร์เรนทำตู้พิเศษไว้ใส่แอนนาเบลล์และตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์ออคคัลท์ ซึ่งเป็นที่เธอพักพิงอยู่จนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่เข้าไปอยู่ในตู้นี้แอนนาเบลล์ก็ไม่ไปโผล่ที่ไหนอีกเลย แต่เธออาจเกี่ยวข้องกับการตายของชายคนหนึ่งที่ขับมอเตอร์ไซค์มาชมพิพิธภัณฑ์กับแฟนสาว หลังจากที่เอ็ดเล่าเรื่องของแอนนาเบลล์ให้ฟัง หนุ่มน้อยก็ตรงไปที่ตู้พร้อมเคาะกระจกแล้วบอกว่า ถ้าตุ๊กตาข่วนคนอื่นได้ เขาก็อยากมีรอยข่วนแบบนั้นบ้าง เอ็ดบอกกับเขาว่า “ไอ้หนุ่ม ออกไปได้แล้ว” และพาเขาออกไป

 

(ตู้พิเศษของแอนนาเบลล์และเอ็ดกับลอเรน วอร์เรน)

 

          ระหว่างทางกลับบ้าน หนุ่มน้อยและแฟนสาวพากันหัวเราะเรื่องแอนนาเบลล์ ขณะที่เขาควบคุมรถไม่ได้และชนเข้ากับต้นไม้ ชายหนุ่มตายทันที ส่วนแฟนของเขารอดชีวิตมาได้แต่ก็ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นปีๆ เมื่อถามเธอถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอก็เล่าว่าพวกเธอกำลังขำกันเรื่องตุ๊กตาในตอนที่รถควบคุมไม่ได้

 

          เอ็ดจึงขอเตือนว่าอย่าแหยมกับปีศาจ ไม่มีมนุษย์หน้าไหนจะมีพลังยิ่งใหญ่กว่าซาตาน

 

(ลอเรนและแอนนาเบล์เมื่อเมษา 2013)

 

 

ที่มา: 2013.gun.in.th


Admin : Maimai
view
:
3037

Post
:
2014-05-08 10:46:00


ร่วมแสดงความคิดเห็น