เขาคือใคร? กับ 10 บุคคลลึกลับของโลกในอดีต
2014-04-22 10:39:00

         สำหรับโลกนี้ยังมีเรื่องลี้ลับอีกมากมาย โดยบางเรื่องก็ถูกบันทึกไว้ชัดเจน บางเรื่องก็เล่ามาเป็นปากต่อปากจนกลายเป็นตำนานและไม่สามารถพิสูจน์ได้จริงอย่าง อลิซาเบธ บาโธรี่ ที่เรารู้ว่าเธอใช้เลือดหญิงพรหมจรรย์อาบเพื่อความอ่อนเยาว์ แต่ปัจจุบันเรื่องนี้กำลังเปลี่ยนไปเพราะมีความเป็นไปได้ว่าเธออาจจะถูกใส่ร้ายจากลูกหนี้ที่ต้องการล้างหนี้ ทว่าวันนี้เราจะไม่ได้คุยเรื่องของ อลิซาเบธ บาโธรี่ แต่จะเป็น 10 บุคคลลึกลับของโลก ว่าพวกเขาคือใคร แล้วมาจากไหน กัน

 

 

         เริ่มจากอันดับที่ 10

 

 

 

          10. มองซิเออร์ ชูชานี (Monsieur Chouchani)

          อาจารย์เชื้อสายยิวผู้ลึกลับ ที่เคยถ่ายทอดวิชาให้กับลูกศิษย์ระดับสูงชาวยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งลูกศิษย์ที่เคยมีโอกาสได้รับการสั่งสอนล้วนมีหน้าที่การงานที่ใหญ่โตและมีชื่อเสียง แต่ถ้าหากถามถึงประวัติที่มาของเขากลับไม่มีใครสามารถให้ข้อมูลได้แน่ชัด เพราะทุกอย่างในชีวิตของเขาล้วนเป็นปริศนาทั้งสิ้น ทราบแค่เพียงว่าเป็นคนที่มีความสามารถหลากหลากด้านจนเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลหนึ่งเลย นอกจากจะมีความรู้เรื่องวิทยาศาสตร์แล้ว ยังมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ ปรัชญา โดยเฉพาะคัมภีร์โบราณของยิวด้วย

          อย่างไรก็ดี จะสังเกตได้ว่าจริง ๆ แล้ว บุคคลลี้ลับในประวัติศาสตร์โลกเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปเท่านั้น ไม่ใช่บุคคลที่มีอิทธิฤทธิ์อย่างไม่สามารถอธิบายได้แต่อย่างใด ซึ่งพวกเขาก็ได้กลายเป็นตำนานเล่าขานกันไป จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในสมัยก่อน เพียงแค่ไม่รู้ที่มาที่ไป และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขาเท่านั้น

 

 

 

          9. The Poe Toaster

          ชายคนนี้เขาจะมาเยี่ยมเยียนหลุมศพ เอ็ดการ์ อัลเลน โพ นักเขียนเรื่องสั้นฆาตกรรมชื่อดังชาวสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 19 มกราคาของทุก ๆ ปี ซึ่งไม่มีใครทราบข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับตัวตนของเขาเลย นอกจากบรั่นดีครึ่งขวดกับดอกกุหลาบแดงอีก 3 ดอกที่ถูกวางเอาไว้ด้าหน้าหลุมศพ กับภาพของชายคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้หมวกกับเสื้อโค้ทสีดำ และปกปิดใบหน้าด้วยผ้าพันคอ

 

 


          8. บาบุชกา เลดี้ (Babushka Lady)

          หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น เอฟ เคเนดี้ ในปีค.ศ. 1963 หญิงนิรนามผู้สวมเสื้อโค้ทสีน้ำตาลพร้อมกับปกปิดใบหน้าด้วยผ้าคลุมก็กลายเป็นที่สนใจทันที เนื่องจากเธอลักษณะท่าทางของเธอเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่า อาจจะเป็นหนึ่งในผู้สมคบคิดก่อเหตุการณ์อันน่าสะเทือนขวัญครั้งนี้ขึ้น ซึ่งผู้เกี่ยวข้องและ FBI ก็ได้ออกตามหาตัวเธอเพื่อขอหลักฐานมาใช้ประกอบคดี โดยในปีค.ศ. 1970 มีคนอ้างตัวว่าเป็นผู้หญิงคนดังกล่าว แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นแค่คำโกหก ดังนั้นจนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครรู้ว่าผู้หญิงคนดังกล่าวเป็นใครจนกระทั่งบัดนี้ 


 

 

          7. คาสปาร์ เฮาเซอร์ (Kaspar Hauser)

          หนุ่มน้อยที่ปรากฏตัวขึ้นบนถนนแห่งหนึ่งของเมืองนูแรมเบิร์ก ในประเทศเยอรมนี พร้อมกับจดหมายที่จ่าหน้าถึงผู้บังคับบัญชาแห่งกองพันทหารม้าที่ 6 เท่านั้น ซึ่งมีใจความว่า เด็กผู้นี้ถูกนำมาทิ้งเอาไว้ที่บ้านตั้งแต่ยังเป็นทารก แต่ตอนนี้ไม่สามารถเลี้ยงดูได้อีกต่อไป จึงส่งตัวมาเพื่อให้เป็นทหารรับใช้ ท่านจะรับไว้ดูแล หรือแขวนคอเสียก็ได้ แต่ทั้งนี้เนื่องจากไม่มีใครทราบความจริง ดังนั้น ทางการจึงได้จับตัวเด็กคนนี้ไปขังไว้ในคุก ในระหว่างนั้นเขาก็ได้เรียนรู้การพูดและการเขียนจากผู้คุม จนสามารถเล่าเรื่องที่มาของตัวเองได้ โดยกล่าวว่าก่อนหน้านี้เขาเคยถูกคุมขังไว้ในคุกมืดแคบ ๆ เช่นเดียวกัน ไม่เคยได้พบเห็นหน้าหรือมีโอกาสพูดคุยกับผู้ใดมาก่อนเลย มีเพียงของเล่นไม้ กับถูกฝึกให้เขียนคำว่า ทหารม้า และ คาสปาร์ เฮาเซอร์เท่านั้น ส่วนที่มานอกเหนือจากนั้นก็มีข้อสันนิษฐานแตกต่างกันออกไป บ้างก็ว่าเป็นทายาทของราชวงศ์ บางก็กล่าวว่าเป็นเพียงเด็กเลี้ยงแกะชอบพูดโป้ปดเพื่อเอาตัวรอด

          จนกระทั่งเมื่อปี ค.ศ. 2002 นักวิทยาศาสตร์ได้นำดีเอ็นเอที่ได้จากเสื้อผ้าของคาสปาร์ไปพิสูจน์กันอีกครั้ง โดยเทียบกับดีเอ็นเอของแอนตริส เมดินเจอร์ ผู้สืบเชื้อสายจาก สเตฟานี เดอ บัวฮาร์เนส ผู้เป็นมารดาของคาสปาร์ ซึ่งผลที่ออกมาปรากฏว่าคาสปาร์มีแนวโน้มว่าอาจจะเป็นทายาทผู้สืบทอดบัลลังก์ของกษัตริย์แห่งบาเดนจริง


 

 

          6. ฟัลคาเนลลี (Fulcanelli)

          นักเล่นแร่แปรธาตุผู้เต็มไปด้วยปริศนามากมายที่ไม่เคยมีใครสามารถเปิดเผยหรือล่วงรู้ความจริงมาก่อนทั้งเรื่องส่วนตัวและชีวิตการทำงาน มีเพียงเรื่องเล่าขานที่กล่าวกันมา ซึ่งเรื่องที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงมากที่สุดก็คือ การที่เขาสามารถทำให้ตะกั่วจำนวน 100 กรัมกลายเป็นทองคำได้ โดยใช้ผงสูตรพิเศษที่เขาได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากอาจารย์

          นอกจากนี้เขายังมีความรู้ในเรื่องของอาวุธนิวเคลียร์ด้วย โดยเขาได้อธิบายหลักการ ขั้นตอน และวิธีการผลิตอย่างละเอียดให้กับนักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งฟังพร้อมทั้งยังทราบว่าอีกไม่นานมนุษย์ในโลกอนาคตจะมีการนำนิวเคลียร์มาใช้เป็นอาวุธต่อสู้ในศึกสงคราม

          ที่มาของเขามีเพียงคำบอกเล่าของลูกศิษย์เท่านั้น ที่กล่าวถึงอาจารย์ผู้เก่งกาจว่า เขาได้เดินทางไปยังปราสาทที่ตั้งอยู่บนเขาสูงในประเทศสเปนเพื่อพบกับคนสำคัญคนหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยมีใครได้พบเห็นอีกเลย และไม่แน่ใจด้วยว่าเขาลาจากโลกนี้ไปแล้ว หรือใช้ชีวิตอยู่อย่างคนอมตะไปตลอดกาล

 



          5. ดี บี คูเปอร์ (D. B. Cooper)

          ดี บี คูเปอร์ คือนามแฝงของสลัดอากาศที่ทำการบุกยึดเครื่องบินโบอิ้ง 727 และผู้โดยสารทั้งหมดเอาไว้เป็นตัวประกัน ขณะที่กำลังบินอยู่เหนือน่านน้ำแปซิฟิกทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในวันที่ 24 เดือนพฤศจิกายน ปีค.ศ.1971 เพื่อแลกเปลี่ยนกับเงินสด 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมกับร่มชูชีพ ซึ่งหลังจากที่ได้สิ่งของตามที่ต้องการแล้วก็กระโดดร่มหายตัวไปอย่างปริศนา จนกระทั่งในปีค.ศ. 1980 มีเด็กชายพบเงินสดกว่า 5,800 ดอลลาร์สหรัฐถูกฝังอยู่กลางสันทรายในแม่น้ำโคลัมเบีย หมายเลขของธนบัตรตรงกับหมายเลขของเงินที่โดนขโมยไปพอดิบพอดี แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครสามารถจับตัวดี บี คูเปอร์มาลงโทษได้อยู่ดี

          จากเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้สนามบินทั่วโลกมีการจัดระเบียบเกี่ยวกับความปลอดภัยเสียใหม่ และเริ่มมีการนำเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจจับและค้นวัตถุต้องสงสัยมาใช้โดยทั่วกัน

 


 

          4. เคาท์ เซนต์ เกอร์แมน (Comte St Germain)

          ข้าราชสำนักผู้นี้มีความสามารถอันหลากหลายทั้งศาสตร์และศิลป์ในฝรั่งเศส เพราะเขาเป็นทั้งข้าราชการ นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ นักไวโอลิน และนักประพันธ์มือสมัครเล่น ในขณะเดียวก็ยังเป็นบุคคลลึกลับของโลกด้วย ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่รู้จักกันเป็นอย่างดีในนาม Der Wundermann หรือวันเดอร์แมน โดยเขาปรากฏตัวและหายไปอย่างลึกลับ มีเพียงบันทึกเกี่ยวกับตัวเขาที่ถูกเขียนขึ้นในปีค.ศ. 1745 ที่สามารถนำมาใช้ยืนยันการมีอยู่ของเขาได้เท่านั้น ซึ่งเนื้อหาภายในนั้นกล่าวว่า เขาเข้ามาอาศัยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศสประมาณ 2 ปี ทั้งในระหว่างนั้นก็ไม่เคยเปิดเผยประวัติของตัวเองให้ใครทราบเลย รู้แค่เพียงว่าเป็นคนเก่งที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่ง และมั่นใจว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาสามัญชนทั่วไปอย่างแน่นอน แต่อาจจะเป็นเชื้อพระวงศ์ หรือสายลับที่ถูกส่งตัวมายังฝรั่งเศสก็มิอาจล่วงรู้ที่มาที่ไปของคนผู้นี้ได้ 
 


 

          3. ชายผู้สวมหน้ากากเหล็ก (Man in the Iron Mask)

          ชายผู้สวมหน้ากากเหล็กคนนี้เป็นนักโทษที่มีชีวิตอยู่ในช่วงของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ก่อนที่จะสิ้นใจในเดือนพฤศจิกายน ของปี ค.ศ. 1703 โดยไม่มีผู้ใดได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขามาก่อนเลย เพราะเขาซ่อนตัวตนภายใต้หน้ากากสีดำอันแสนมืดมิดมาโดยตลอด

          อย่างไรก็ดี แท้จริงแล้วเรื่องราวของชายผู้นี้เป็นตัวละครหนึ่งในนิยายที่มีเค้าโครงจากเรื่องจริงส่วนหนึ่ง ซึ่งในเนื้อหามีใจความเกี่ยวกับชีวิตของชายผู้หนึ่งที่ถูกจับกุมโดยข้ารับใช้ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และถูกส่งตัวไปคุมขังเอาไว้ในคุกลับแห่งปิเนรอล เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้าถึงตัวได้ พร้อมกันนี้นักโทษคนดังกล่าวยังโดนห้ามมิให้พูดคุยกับผู้ใดนอกจากได้รับอนุญาตอย่างเป็นทางการแล้วเท่านั้น หากเขาฝ่าฝืนจะถูกฆ่าในทันที ซึ่งหลังจากที่เขาเสียชีวิตลงทางการก็จัดการทำลายข้าวของของเขาทุกชิ้น พร้อมกับฝังศพ และอย่างเงียบ ๆ และระบุชื่อบนป้ายหลุมศพว่า Eustache Dauger เท่านั้น โดยสุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครทราบที่มาที่ไปอย่างแท้จริงเสียที

 


 

          2. กิล เปเรซ (Gil Pérez)

          เขาผู้นี้คือนายทหารสัญชาติสเปนซึ่งประจำการอยู่ที่พระราชวังเดลโกเบอนาดอร์ ในประเทศฟิลิปปินส์ แต่อยู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองเม็กซิโกอย่างน่าฉงนเมื่อวันที่ 26 เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1593 โดยที่เจ้าตัวก็ไม่ทราบเช่นกันว่ามาอยู่ที่เมืองแห่งนี้ได้อย่างไร รู้แค่เพียงผู้ว่าของเมืองที่เขาประจำการอยู่นั้นถูกลอบสังหารเท่านั้นเอง ซึ่งอีก 2 เดือนต่อมาก็มีข่าวจากเรือฟิลิปปินส์ยืนยันว่าคำพูดที่ถูกนำมากล่าวอ้างนั้นเป็นเรื่องจริงทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกันยังมีพยานที่พบเห็นเปเรซ ในวันที่ 23 ในเดือนและปีค.ศ. เดียวกัน ก่อนที่เขาจะปรากฏตัวในเมืองเม็กซิโกด้วย ซึ่งไม่มีทางที่เขาจะเดินทางไปยังเม็กซิโกได้รวดเร็วในสมัยนั้น

          สุดท้ายแล้วเขาก็ได้ก็เดินทางกลับไปยังประเทศฟิลิปปินส์อีกครั้ง และไม่มีผู้ใดได้พบเห็นเขาอีกเลยนับตั้งวันนั้น จึงทำให้เรื่องของเขากลายเป็นปริศนาที่ได้ไม่มีใครได้ล่วงรู้ว่าเขาเดินทางโดยวิธีใดจนกระทั่งถึงตอนนี้

 


 

          1. พี่น้องตัวเขียวแห่งวูลพิต (Green Children of Woolpit)

          พี่น้องชายหญิงคู่นี้ปรากฏตัวขึ้นอย่างลึกลับเมื่อประมาณศตวรรษที่ 12 กลางหมู่บ้านวูลพิต ของเมืองซัฟฟอร์คในประเทศอังกฤษ จริง ๆ แล้วทั้งสองคนอาจจะเป็นแค่เด็กต่างถิ่นที่พลัดหลงมาเท่านั้น แต่ทว่าเนื้อตัวสีเขียว เครื่องแต่งกายอันแปลกประหลาด และภาษาที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน เลยทำให้พี่น้องคู่นี้มีความพิเศษออกไป และได้รับความสนใจจากชาวเมืองเป็นอย่างมาก

          ในช่วงแรกทั้งสองคนไม่ยอมรับประทานอะไรเลย นอกเสียจากถั่วเขียวสดที่ผู้คนนำมาให้ แต่หลังจากนั้นไม่นานก็สามารถปรับตัวใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติและพูดภาษาอังกฤษได้พอประมาณจึงเล่าที่มาของตัวเองให้ฟังว่า พวกเขามาจากเซนต์มาติน เมืองที่เต็มไปด้วยความมืดมิด จนกระทั่งวันหนึ่งทั้งสองคนได้ยินเสียงดังกึกก้องไปทั่ว จึงได้ออกเดินทางเพื่อตามหาเสียงนั้น ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตัวเองมาอยู่ในเมืองวูลพิตเสียแล้ว

 

 

ข้อมูลและรูปภาพ: kapook.com


Admin : Maimai
view
:
3446

Post
:
2014-04-22 10:39:00


ร่วมแสดงความคิดเห็น