10 อันดับ ฆาตกรสาวสุดโหดที่โลกต้องตะลึง
2014-04-18 15:23:00

          ต้องยอมรับเลยว่า จิตใจมนุษย์นั้น ไม่ว่าจะชาย หรือหญิง ต่างก็มีทั้งด้านบวก และลบ กันทุกคน อยู่ที่ว่าแต่ละคนจะแสดงด้านไหนออกมามากหรือน้อย เท่านั้นเอง ซึ่งคนที่แสดงด้านลบออกมาก จนถึงขั้นสังหารมนุษย์ด้วยกันนั้น เราจะมองว่าคนเหล่านี้เป็น ฆาตกร เป็นบุคคลที่มีภัยต่อสังคม ซึ่งคำๆ นี้ใช่ว่าจะใช้ได้แต่ผู้ชาย ทางผู้หญิงเองก็มีเช่นกัน  ซึ่งนี่คือเหล่าหญิงสาวผู้ได้ชื่อว่า เป็นฆาตกรสุดโหดที่โลกต้องตะลึง  

 

10.ควีนแมรี่ ที่ 1 (Queen Mary I ) (ค.ศ. 1516 – 1558)

         

          ราชินีแมรี่เป็นพระธิดาพระองค์เดียวใน กษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 และพระนางแคทเธอรีน แห่งอารากอน พระองค์เคยเกือบที่จะสวรรคตในช่วงวัยทารกมาแล้วแต่รอ ดมาได้ และขึ้นครองราชย์สมบัติหลังจากพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 6 สิ้นพระชนม์ ด้วยการปลดราชินีเก้าวันอย่าง เลดี้เจน เกรย์ ออก และขึ้นครองราชย์แทน โดยราชินีแมรี่ชูนโยบายที่พระองค์เน้นเป็นพิเศษ คือการที่ทำให้ประเทศอังกฤษเป็นประเทศที่นับถือนิกาย คาธอลิกอย่างเดียว พระองค์เลยคิดหาทางกำจัดพวกโปรแตสแตนท์ในประเทศให้หมดสิ้น โดยใช้หลายๆ วิธี สาวกนิกายโปรแตสแตนท์ที่มีชื่อเสียงหลายคนถูกจับประหาร ทำให้พระนางมีนามหนึ่งว่า “Bloody Mary” หรือ “แมรี่บ้าเลือด” ซึ่งฉายานี้มาจากการจับสาวกนิกายโปรแตสแตนท์ ขึ้นแขวนคอบนตะแลงแกงในคราวเดียวกว่า 800 คน

 

 

9.ไมร่า ฮินด์ลีย์ (Myra Hindley)(ค.ศ.1942 – 2002)

         

          ไมร่า ฮินด์ลีย์ และคู่รัก เอียน เบรดี้ เป็นผู้ก่อคดี “Moors murdersฆาตกรรมแห่งท้องทุ่ง” โดยเหตุเกิดที่แถวเมืองแมนเชสเตอร์ในสหราชอาณาจักรใน ราวช่วงทศวรรษที่ 60 ฆาตกรโหดคู่นี้ถูกจับเพราะกระทำการลักพาตัว, ทารุณกรรมทางเพศ, ทรมานและฆาตกรรม เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี 3 คน และเด็กวัยรุ่นอายุ 16 และ 17 ปี โดยหลักฐานที่พบประกอบด้วย เทปที่บันทึกระหว่างกำลังทำการฆาตกรรมที่มีเสียงผู้ต ายกำลังกรีดร้อง ขณะที่ไมร่าและเบรดี้กำลังข่มขืนและทรมาน ในระหว่างการสอบสวนและวันตัดสินเธอยังมีท่าทีกินลูกอ มอย่างไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังทำท่าทางกร่างและแสดงความยโสโอหัง จนกลายเป็นลักษณะพิเศษที่เป็นที่จดจำของเธอ จนกลายเป็นบุคคลคนที่ชาวอังกฤษเกลียดชังที่สุดในประวัติศาสตร์

 

 

8.ราชินิ อิซาเบลล่า แห่ง แคสไทล์ (Isabella of Castile) (ค.ศ.1451 – 1504)

         

           ราชินิอิซาเบลล่าที่ หนึ่ง แห่งสเปน เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้อุปถัมภ์ของ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส กับพระสวามีของพระนาง กษัตริย์เฟอร์ดินานด์ที่ 2 แห่งราชวงศ์อารากอน ทั้งสองพระองค์ร่วมกันมีส่วนในการรวมประเทศสเปน ภายใต้การนำของหลานชายของพระองค์ โดยแผนการรวมชาตินี้ ราชินิอิซาเบลล่าได้ แต่งตั้งให้ นายพล โทมาส เดอ ทอร์คิวมาดา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สอบสวน (โดยวิธีทรมาน) รุ่นแรกๆ เป็นผู้บัญชาการในการสอบสวนทรมาน จนวันที่ 31 เดือนมีนาคม ค.ศ.1492 มีบันทึกว่าเป็นวันออกกฤษฎีกาแอลฮัมบราโดยมีคำสั่งให้ขับไล่ ชาวยิวและชาวมุสลิมออกนอกประเทศ นอกจากนั้นประชาชนราว 2 แสนคนที่หลงเหลืออยู่ในประเทศสเปน ถ้าไม่เปลี่ยนศาสนาจะถูกจับมาลงโทษอย่างทารุณ ในปี ค.ศ. 1974 สันตะปาปาพอลที่ 6 กล่าวถึงการกระทำของพระนางว่า" สมควรทำ" และอวยพร ให้พระนางเป็นนักบุญ ในโบสถ์นิกายคาทอลิก ในฐานะข้ารับใช้ของพระเจ้า

 

 

7.เบเวอรี่ เอลลิทท์ (Beverly Allitt) (ค.ศ. 1968-?) 

       

           เธอได้รับฉายาหนึ่งว่า " The Angel of Death หรือนางฟ้าแห่งความตาย !!!! " เบเวอรี่ เกล เอลลิท หนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องหญิงที่ชาวอังกฤษเป็นที่รู้จัก กันดี เธอทำงานเป็นนางพยาบาลดูแลเด็กๆ และถูกจับในข้อหาฆาตกรรมเด็ก 4 คน และทำให้บาดเจ็บสาหัสอีก 5 คน (ที่จริงมากกว่านั้น) โดยการฉีดสารอินซูลินหรือโพแทสเซียมที่ใช้เพื่อเร่งการทำงานของหัวใจมากเกินไป จนเด็กตายอย่างทรมาน ซึ่งปัจจุบันเธอยังถูกจองจำอยู่ในคุก เพราะที่ประเทศอังกฤษไม่มีโทษประหารชีวิต

 

 

6.เบลล์ กันเนส (Belle Gunness) (ค.ศ.1859 - 1931) 

         

          เบลล์ กันเนส เจ้าของฉายา “A female Bluebeard ผู้หญิงเคราน้ำเงิน” เป็นหนึ่งในฆาตกรต่อเนื่องหญิงที่ฆ่าคนมากที่สุดในอเ มริกา ด้วยส่วนสูง 6 ฟุต (183 เซนติเมตร) และหนักกว่า 200 ปอนด์ (91 กิโลกรัม) เชื้อชาตินอร์วีเจียนที่ตัวใหญ่และแข็งแรง โดยเธอใช้ร่างกายอันใหญ่ยักษ์นี้สังหารสามีของเธอทั้งสองคนและลูกๆ ทั้งหมดของเธอโดยฆ่าเพื่อหวังเงินประกันชีวิต และขโมยทรัพย์สินเอามาเข้ากระเป๋าของเธอ นอกจากนั้นยังมีรายงานมากมายว่าเธอน่าจะฆ่าคนมากกว่า หนึ่งร้อยราย แต่เธอดันชิงฆ่าตัวตายก่อนโดยการเผาตัวเองพร้อมกับบ้าน แต่ผลชันสูตรศพของเธอนั้นหลายๆ ฝ่ายไม่เชื่อว่าศพนี้เป็นของเธอ เพราะศพนั้นเตี้ยกว่าส่วนสูงของเบลล์ถึงหกฟุตด้วยกัน ต่างกันถึงสองนิ้ว

 

 

5.แมรี่ แอนน์ คอตต้อน (Mary Ann Cotton) (ค.ศ.1832 – 1873) 

       

          นาง แมรี่ แอนน์ คอตต้อน สตรีชาวอังกฤษ เป็นนักฆ่าต่อเนื่องเพื่อผลประโยชน์อีกรายหนึ่ง แต่งงานเมื่ออายุ 12 ปีกับ นายวิลเลียม มาวเบรย์ คู่แต่งงานใหม่นี้อาศัยที่พลีเมาท์ เมืองเดวอน ต่อมาพวกเขามีลูกด้วยกันห้าคน สี่คนตายเพราะโรคกรดในกระเพาะอาหารและปวดท้องอย่างรุ นแรง จากนั้นพวกเขาก็ย้ายไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ แต่เหตุการณ์ร้ายก็ยังตามมา เมื่อลูกที่เลี้ยงตายถึงห้าคนในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ต่อมานายวิลเลียมก็ตายตามลูกๆ ไปด้วยโรคลำไส้ไม่ทำงานในเดือนมกราคม ปี 1865 ประกันสังคมของอังกฤษจ่ายเงินสินไหมชดเชยให้เธอถึง 35 ปอนด์สเตอริง แต่เหตุการณ์ร้ายก็ยังไม่สิ้นสุด เพราะต่อมา สามีคนที่สองของเธอ จอร์จ วาร์ด ก็เสียชีวิตเพราะปัญหาเกี่ยวกับลำไส้เช่นเดียวกับหนึ่งในลูกอีกสองคนที่เหลือของเธอ ด้วยการตายถี่ของคนในครอบครัวแมรี่ทำให้มีการสอบสวนเ กิดขึ้น จนพบว่า นาง แมรี่ แอนน์ มีความผิดฐานวางยาสามีสามคน, คู่รัก, เพื่อน, แม่ของเธอ, และลูกๆอีกหนึ่งโหล ทั้งหมดเสียชีวิตจากอาการป่วยที่ท้อง ผลคือเธอถูกแขวนคอที่ เดอร์แฮม เคนท์ตี้ กาออล ในวันที่ 24 เดือนมีนาคม ปี 1873 ด้วยข้อหาฆาตกรรมด้วยการวางยาพิษสารหนู เธอตายอย่างช้าๆ เพราะเพชฌฆาตใช้เชือกแขวนคอสั้นเกินไปสำหรับการประหาร 

 

 

4.อิลซ่า คอชห์ (Ilse Koch) (ค.ศ.1906 – 1967)

       

           ได้รับฉายาเยอะจริงสำหรับผู้หญิงคนนี้ เช่น “the Witch of Buchenwald. นางแม่มดแห่งบูเชนวาล์ด” , “หญิงเลวแห่งบูเชนวาล์ด” เธอเป็นภรรยาของนายพลคาร์ล คอชห์ ผู้บัญชาการแห่งค่ายกักกันของนาซีประจำค่ายบูเชนวาล์ ด(1937-1941) และมาจดาเนค (1941-1943) เธอเป็นคนบ้าอำนาจมากและเมื่อเธอได้ทำงานแทนสามี เธอก็มีเวลาว่างอันแสนสนุกสนานกับการทรมานและข่มขืนนักโทษในค่ายกักกันจนฉาวโฉ่ จนเป็นที่ร่ำลือในความโลกีย์ ว่ากันว่ารอยสักตามร่างกายของเธอนั้นมาจากการสังหารค นในค่ายกักกันหนึ่งคนต่อหนึ่งขีด (ขีดในร่างกายเธอมีประมาณ 250,000 ขีด!!) แต่ผลสุดท้าย เธอก็แขวนคอฆ่าตัวเองตายในเรือนจำหญิงอิคช์แอคช์ ในวันที่ 1 เดือนกันยายน ปี 1967 

 

 

3.เออร์ม่า เกรเซอ (Irma Grese) (ค.ศ.1923 -1945)

         

          อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่น่าภูมิใจ(ในความอัปยศ)ของนาซีใ นยุคหลัง เออร์ม่า เกรเซอ หรือ “ of Belsen. หญิงเลวแห่งเบลเซ่น” เธอเป็นทหารรักษาการณ์ที่แคมป์กักกันเรเวนส์บรุคค์, ค่ายนรกเอาส์ชวิทซ์ และ เบอร์เย่น – เบลเซ่น ถูกย้ายมาประจำการที่เอาส์ชวิทซ์ในปี 1943 โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพลสำรองพิเศษหน่วยควบคุม ดูแล ซึ่งเป็นยศที่ใหญ่เป็นลำดับที่สองของทหารหญิงในค่าย ในวันสิ้นปี เธอจับนักโทษหญิงชาวยิวกว่า 30,000 คน มาสนุกกับเกมส์อันพิศดารของเธอ ประกอบด้วย การทารุณกรรมเหล่านักโทษ โดยให้สุนัขที่ถูกฝึกฝนและกำลังหิวโหยกัด รวมถึงการทารุณกรรมทางเพศต่างๆจนนักโทษรับไม่ไหว การยิงปืนตามอำเภอใจ การตีอย่างทารุณด้วยแส้แบบเปีย และเลือกนักโทษเข้าห้องรมแก๊ส เธอชอบเรื่องซาดิสต์ทรมานคนมากๆ จนนักโทษหลายคนในค่ายรู้จักเธอดีในภาพลักษณ์หญิงใส่รองเท้าบูทหนัก และพกปืนสั้นเพื่อให้สะดวกในการทรมานนักโทษ

 

 

2.แคทเธอรีน ไนท์ (Katherine Knight) (ค.ศ.1956 – ?)

       

            แคทเธอรีน ไนท์ สตรีชาวออสเตรเลียนคนแรกที่โดนโทษประหารชีวิตโดยไม่มีการอุทธรณ์ เป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าสามีเธออย่างโหดมที่สุดเท่า ที่โลกมีมา เธอเคยบดฟันปลอมของสามีเก่าคนหนึ่งของเธอจนแหลกละเอี ยด และปาดคอลูกสุนัขอายุ 8 สัปดาห์ของสามีอีกคนหนึ่งก่อนจะเชือดตาของเขาออก แต่ที่ดังที่สุดคือคดีฆ่า นายจอห์น ชาร์ล โธมัส ไพรซ์ เมื่อนายไพรซ์ยื่นฟ้องต่อศาลเพื่อจะขอหย่ากับนางแคทเ ธอรีน จนนางแคทเธอรีนโกรธแค้นมาก เลยใช้มีดแล่เนื้อ แทงนายไพรซ์จนถึงแก่ความตาย เขาถูกแทงอย่างน้อย 37 ครั้ง ทั้งหน้าและหลัง และหลายแผลถูกแทงทะลุอวัยวะภายในที่สำคัญหลายแห่ง จากนั้นเธอก็ถลกหนังเขา แล้วแขวนหนังที่ถูกถลกไว้กับขอบประตูห้องนั่งเล่น ตัดหัวเขาออกแล้วใส่ในหม้อซุป อบส่วนสะโพกบั้นท้ายของเขา แล้วเตรียมน้ำเกรวี่และผักเพื่อเป็นเครื่องเคียงเนื้อ อบ โดยอาหารมื้อพยาบาทนี้ถูกปรุงขึ้นเพื่อให้เด็กๆ ในบ้านกิน แต่โชคดีที่ตำรวจมาเจอก่อนที่เด็กๆจะกลับมาถึงบ้าน

 

 

1.เอลิซาเบธ บาโธรี่ (Elizabeth Bathory ) (ค.ศ.1560-1614)

         เธอคือฆาตกรหญิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในฮังการี และของโลก ส่วนสาเหตุที่ทำให้เธอฆ่าคนเพราะคิดว่าถ้านำเอาเลือด มาชำระร่างกายผิวของเธอจะสวยสดตลอดกาล!!!! โดยเรื่องเริ่มขึ้นเมื่อมีข่าวลือหลายปีเกี่ยวกับเด็ กผู้หญิงชาวไร่ชาวนาหายไปในเขตการปกครองของพระองค์ จนกษัตริย์แมทเทียสที่ 2 ต้องออกมาทำการตรวจค้นที่ปราสาทของเธอ จนกระทั่งได้พบศพของเด็กหญิงที่ตาย อย่างโหดร้ายสุดจะบรรยาย เช่น ร่างพรุนด้วยเข็ม ศพไหม้ หรือศพโดนตัดแขนหรือขา หรือชิ้นส่วนสำคัญของร่างกายออก บางศพมีการบิดเนื้อบิดหน้า,แขน และส่วนเกี่ยวกับร่างกายอื่นๆ และทำให้อดอาหารตาย โดยเหยื่อทั้งหมดถูกคิดว่าน่าจะมีตัวเลขที่เกินกว่าร้อยศพ แต่เนื่องจากสถานะเกี่ยวกับทางสังคมของเธอ โทษประหารจึงถูกละเว้น เหลือแต่ให้ขังตลอดชีวิตในห้องขังเดี่ยวๆ ใต้หอคอยแทนจนกระทั้งเธอขาดใจตายในที่สุด

 

 

Credit - www.clipmass.com

 

         


Admin : benzbenzs
view
:
3282

Post
:
2014-04-18 15:23:00


ร่วมแสดงความคิดเห็น