7 ความเชื่อของชาวต่างชาติ เมื่อเดินทางเที่ยวประเทศไทย
2014-04-08 11:04:44

          "สงกรานต์" เป็นอีกเทศกาลหนึ่งที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้ความสนใจ และอยากมาสัมผัสด้วยตนเองสักครั้งในชีวิต ทั้งการรดน้ำและเล่นน้ำตามประเพณีท่ามกลางอากาศร้อนจัด ทานอาหารท้องถิ่น และท่องไปยังสถานที่สวยงามอันเลื่องชื่อระบือไกล เช่น ทะเล ตลาดน้ำ วัด ฯลฯ ที่เคยปรากฏภาพสวยงามในคู่มือสำหรับนักเดินทาง จนต้องข้ามน้ำข้ามทะเลบุกมาพิสูจน์ถึงที่

 

          รู้หรือไม่ว่า...แม้ชาวต่างชาติจะหมายตามายลแดนสยาม พร้อมกางแผนที่และเดินเที่ยวตามคำบอกเล่าของตัวหนังสือแล้ว พวกเขายังมีความเชื่อ 7 ประการ เกี่ยวกับประเทศไทยด้วย ซึ่งจะผิดหรือถูกนั้นควรเปิดใจรับ และเป็นเจ้าบ้านที่ดีเมื่อแขกมาเยือน เพื่อที่พวกเขาจะได้หอบความประทับใจกลับไป และย้อนกลับมาอีกครั้งเมื่อโอกาสอำนวย

 

          สำหรับความเชื่อของชาวต่างชาติ 7 ประการ ที่มีต่อประเทศไทย มีดังนี้

 

 

 

1.น้ำแข็งทำให้ตายได้

          ชาวต่างชาติเขาว่ากันว่า: ให้ระมัดระวังการบริโภค "น้ำแข็ง" เมื่อเดินทางมาประเทศไทย เพราะเชื้อโรคในน้ำแข็ง (ที่ไม่รู้ว่าทำมาจากน้ำก๊อกหรือเปล่า) อาจทำให้ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ และหมดสนุกระหว่างท่องเที่ยวได้ โดยเขาแนะกันเองว่า หากเลี่ยงไม่ได้และกังวลเกี่ยวกับเชื้อโรคปนเปื้อน ให้พยายามเลือกน้ำแข็งหลอด เพราะผลิตจากโรงงานที่ใช้น้ำกรอง ซึ่งอาจจะสะอาดและได้มาตรฐานกว่า นอกจากนี้ยังบอกด้วยว่า พนักงานเสิร์ฟส่วนใหญ่จะนำเหยือกน้ำแข็งมาให้ด้วยความเคยชิน และให้ปฏิเสธได้เลยหากไม่ต้องการ

 

 

 

2.ชายเดินทางลำพัง มาเที่ยวเซ็กซ์แน่นอน

ชาวต่างชาติเขาว่ากันว่า: หากเป็นชายเดินทางมาเที่ยวไทยเพียงลำพัง อาจจะมีคนมองว่าตั้งใจมาซื้อบริการทางเพศแน่นอน และยิ่งมีที่พักอยู่ใกล้ย่านโคมแดง ก็อาจถูกสาวๆ ที่ทำงานกลางคืนต้อนหน้าต้อนหลังได้

 

 

 

3.ทุกคนจ้องแต่จะหลอกลวง

          ชาวต่างชาติเขาว่ากันว่า: ที่ประเทศไทยมักจะมีการลวงนักท่องเที่ยวอย่างมีชั้นเชิง คนขับตุ๊กตุ๊กจะพยายามเกลี้ยกล่อมให้ขึ้นรถ เพื่อพาไปตามร้านขายของ โดยอ้างว่าพระบรมมหาราชวังปิดให้บริการ จนทำให้มองว่าคนประเทศนี้เป็นปลิงดูดเลือดนักท่องเที่ยว ใช้วิธีหากินแบบสกปรก ปล้นชาวต่างชาติที่ไม่รู้ตาสีตาสา แต่ถ้าจะไปยังแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม และทำการบ้านก่อนเดินทางมาอย่างดีแล้ว จะพบว่ามีคนไทยใจดีอีกเยอะที่ยินดีช่วยเหลือบอกทาง และแนะนำร้านอาหารอร่อยๆ ให้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดทางภาคอีสาน

 

 

 

4.ทุกอย่างในประเทศไทยแสนถูก 

ชาวต่างชาติเขาว่ากันว่า: ช่วงปี 1990 ยังมีเกสต์เฮาส์ราคาถูกกว่า 10 ดอลลาร์ (ราว 300 บาท) แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน ห้องพักย่านถนนข้าวสารก็ไม่ได้ถูกอีกต่อไป แต่ราคายังสมเหตุสมผล โรงแรมระดับ 5 ดาว ที่กรุงเทพฯ ยังถูกกว่าที่ โตเกียว ฮ่องกง และสิงคโปร์ เป็นไหนๆ แต่ถ้าอยากได้อารมณ์แบบใกล้ชิด สัมผัสวิถีท้องถิ่น ก็สามารถพักห้องพักราคาถูกได้ และสำหรับการช็อปปิ้ง หากต้องการของถูกก็จะไป "มาบุญครอง" ถ้าไม่อยากได้ของแพงหรือแบรนด์เนม ก็อย่าไป "สยามพารากอน" เพราะภาษีนำเข้าที่ไทยแพงกว่าบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขาเยอะ

 

 

 

5. สามารถใช้เงินแก้ปัญหาได้ 

ชาวต่างชาติเขาว่ากันว่า: เคยมีคนพูดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยบางราย (ย้ำว่าบางราย) ยอมรับเงินสินบน เพื่อปล่อยให้ผู้กระทำความผิด อย่างเช่นกรณีขับรถชน ให้รอดพ้นจากข้อหา เป็นต้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังมีผู้รักษาสันติราษฎร์ที่ยังคงความศักดิ์สิทธิ์ของอาชีพไว้ได้ ซึ่งเห็นบ่อยครั้งในการจับกุมนักท่องเที่ยวที่เกาะพงัน สุดยอดจุดหมายปลายทางในการจัดฟูลมูนปาร์ตี้ โดยมีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อย รวมทั้งคนดังเคยถูกตำรวจไทยจับมาแล้ว

 

 

 

6. ระวังลูกหลานให้ดี 

ชาวต่างชาติเขาว่ากันว่า: ความเป็นจริงแล้วที่นี่ มีกิจกรรมสุดวิเศษสำหรับทุกคนในครอบครัว มีกีฬาแบบซอฟต์ ไม่รุนแรงให้เด็กได้เล่น แม้แต่พัทยาที่ขึ้นชื่อสุดๆ สำหรับเมืองอันตราย ก็ยังมีสวนน้ำ สวนสนุก และโกคาร์ต ให้เด็กๆ ได้เล่น ส่วนที่โรงแรมหลายดาวในเมืองไทย ก็ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเป็นครอบครัวอย่างครบครัน เช่น มุมเด็ก หรือพี่เลี้ยง สำหรับข้อแนะนำที่ชาวต่างชาติเตือนกันเองก็คือ ให้เก็บรถเข็นเด็กไว้ที่บ้าน เพราะทางเท้าในประเทศไทยเดินลำบากเหลือเกิน ส่วนใหญ่ถูกเหล่าพ่อค้าแม่ค้าเทกโอเวอร์ไปเป็นที่ขายของหมดแล้ว หรือบางทีหากไม่มีของวางขายก็อาจจะเจอหลุมบ่อ ทำให้ลูกน้อยที่นอนในรถเข็นมึนหัว

 

 

 

7. ช่วยเด็กข้างถนน ด้วยการให้เงิน

ชาวต่างชาติเขาว่ากันว่า: ขอทานข้างถนนในเมืองไทยอาจดูน่าสงสารจนทำให้อยากควักเงินช่วยเหลือ โดยเฉพาะกลุ่มขอทานเด็กๆ แต่แนะนำว่าไม่ควรทำเช่นนั้น เพราะจากการรายงานข่าวของสื่อในประเทศ ระบุว่า ส่วนใหญ่แล้วเป็นเหยื่อของแก๊งค้ามนุษย์ และเด็กๆ ที่เราให้เงินไปนั้นพวกเขาไม่ได้ใช้เอง แต่มีคนคอยคุมและเก็บเงินทั้งหมด ส่วนถ้าอยากช่วยเหลือจริงๆ ให้บริจาคกับกองทุนหรือมูลนิธิจะดีเสียกว่า

 

 

Credit: ไทยรัฐ


Admin : Maimai
view
:
2359

Post
:
2014-04-08 11:04:44


ร่วมแสดงความคิดเห็น