"ปวีณา" บุกแอฟริกาใต้ช่วยเหลือหญิงไทยเหยื่อค้าประเวณี - แรงงานทาส
2014-03-28 10:38:44
 
วันที่ 27 มี.ค.ที่สนามบินสุวรรณภูมิ  นางปวีณา หงสกุล ปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) และประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี พร้อมคณะเดินทางกลับจากนครโจฮันเนสเบิร์ก  ประเทศสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ พร้อมผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ 8 ราย แยกเป็นผู้เสียหายที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีที่นครเคปทาว์น 3 ราย และผู้เสียหายที่ถูกหลอกไปทำงานในร้านนวดแผนไทยซึ่งอ้างว่าไม่ได้รับค่าแรงตามที่นายจ้างเสนอชักชวนหรือสัญญาว่าจะให้5 ราย 
 
นางปวีณา กล่าวว่า ได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนนครเคปทาว์น หลังจากได้เข้าพูดคุยประสานข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับผู้บัญชาการของตำรวจนครเคปทาว์น พร้อมออกหมายค้นบ้านต้องสงสัยว่าเป็นที่กักขังโดยใช้เวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญไปร่วมตรวจสอบบ้านที่เกิดเหตุ 
 
"เมื่อถึงบ้านที่เกิดเหตุ พบว่าสภาพบ้านเป็นบริเวณกว้าง ชั้นเดี่ยว มีห้องนอนสำหรับบริการลูกค้า  5  ห้องและห้องนอนของหญิงไทยที่ถูกหลอกมาค้าประเวณีต้องนอนรวมกันหลายคนอีก 1 ห้อง และพบหญิงไทย 3 ราย  ชื่อ นางสาวเอ (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี นางสาวบี (นามสมมุติ) อายุ 23 ปี นางสาวซี (นามสมมุติ) อายุ 31 ปี หลบอยู่ภายในห้องนอน ซึ่งสามารถให้การช่วยเหลือหญิงไทยออกมาจากขุมนรกได้ทั้ง 3  ราย" นางปวีณากล่าว
 
นางปวีณา กล่าวว่า กรณีนี้สืบเนื่องมานางสาวดี (นามสมมุติ) เข้าร้องเรียนขอให้ช่วยเหลือนางสาวเอ (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนกันได้แอบโทรศัพท์มาหาเพื่อขอความช่วยเหลือว่าถูกหลอกชักชวนให้ไปทำงานนวดที่แอฟริกาใต้แต่ถูกกักขังบังคับค้าประเวณีพร้อมทั้งบอกว่ามีหญิงไทยจำนวนมากที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกัน  
 
"หลังจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนขยายผลติดตามจับกุมผู้กระทำผิดในกระบวนการหลอกลวงหญิงไทยไปค้ามนุษย์และเจ้าหน้าที่มูลนิธิปวีณาฯพร้อม พม.จะเข้าไปดูแลให้ความช่วยเหลือเหยื่อ ซึ่งขณะนี้ปัญหาการค้ามนุษย์ประเทศไทยจัดอยู่ในลำดับที่  4 ในปวีปเอเชีย และยังเป็นประเทศที่เฝ้าระวังในบัญชีของสหรัฐอเมริกาเรื่องการค้ามนุษย์ โดยจัดประเทศไทยอยู่ในระดับ Tiar 2 ติดต่อกันมาเป็นเวลา 4 ปีแล้ว และเป็นนโยบายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญมาก ในฐานะที่ พม.เป็นเลขาธิการคณะกรรมการชุดใหญ่ในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ ได้เร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังโดยทำงานแบบบูรณาการร่วมกันทุกฝ่าย หวังว่าประเทศไทยจะได้รับการประเมินและยกระดับในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ให้ดีขึ้นกว่านี้ มิฉะนั้นจะมีผลเสียกับประเทศไทยตามมาอีกมากมาย" นางปวีณากล่าว  
 
นางปวีณา กล่าวว่า การเดินทางไปปฎิบัติภาระกิจในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จระดับหนึ่ง ทั้งเรื่องการประสานงานโดยตรงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับผู้บัญชาการที่นครเคปทาว์น พร้อมกับได้ขอความร่วมมือให้เร่งจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับด้วย  และหลังจากนี้จะเดินหน้าให้ความช่วยเหลือหญิงไทยในต่างแดนที่ถูกหลอกไปค้าประเวณี อาทิ บาห์เรน บราซิล มาเลเซีย พร้อมทั้งจะเชิญตัวแทนประเทศกลุ่มเสี่ยงร่วมทำเอ็มโอยู ร่วมกันในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ทั้งประเทศต้นทางและปลายทางอย่างจริงจังอีกด้วย 
 
"การเดินทางไปครั้งนี้นอกจากช่วยเหลือหญิงไทยที่ถูกหลอกไปค้าประเวณีแล้วนั้น ยังช่วยเหลือผู้หญิงไทยอีก 5 ราย ที่เดินทางไปทำงานอยู่ในร้านนวดแผนไทยที่นครโจฮันเนสเบิร์ก  ซึ่งได้รับการประสานจาก พ.ต.ต.จตุพร อรุณฤกษ์ถวิล หัวหน้าคณะทำงานสืบสวน การค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ว่าหญิงไทยทั้ง 5 รายนี้ถูกหลอกให้เดินทางมาทำงานนวดแผนไทยว่าจะมีรายได้เดือนละประมาณ 12,000 บาทและมีค่าคอมมิชชั่น ที่พัก ประกันสุขภาพ ในจำนวน 5 ราย บางรายเดินทางไปเพราะเพื่อนชักชวน และบางรายทราบข่าวจากประกาศ โฆษณาทางอินเตอร์เน็ตของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ซึ่งบางรายก็ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง แต่บางรายก็แฝงตัวมา" นางปวีณากล่าว
 
นางปวีณา กล่าวว่า เมื่อผู้เสียหายรู้ว่าเป็นของกรมการจัดหางานซึ่งดูน่าเชื่อถือจึงหลงเชื่อเดินทางมาทำงาน แต่เมื่อทำสัญญาจ้างแล้วกลับไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ จึงตกอยู่ในภาวะจำยอม ต้องอดทนทำงานใช้หนี้สิน ขณะนี้มีผู้เสียหาย 5 ราย ซึ่ง พม.จะเชิญตัวแทนกระทรวงแรงงานและเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมสอบปากคำ เพื่อช่วยเหลือดูแลว่าเข้าข่ายเป็นผู้เสียหายการค้ามนุษย์หรือไม่ ซึ่งจะเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเหยื่อ ส่วน พม.จะมีเจ้าหน้าที่ลงไปดูแล เยี่ยมครอบครัว ดูความเป็นอยู่เพื่อหาทางชวยเหลือต่อไป  
 
"นอกจากนี้ยังได้มีการเดินทางไปตรวจสอบสถานที่ซึ่งเป็นร้านนวดแผนไทยที่ผู้เสียหายทั้ง 5 ราย ได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรม  ที่ร้านนวดแผนไทยดังกล่าวเคยมีผู้หญิงไทยที่ไปทำงานนวดเสียชีวิต 1 ราย อย่างมีเงื่อนงำ ทั้งที่ทำงานใช้หนี้ใกล้จะหมดแล้ว และเบื้องต้นเจ้าของร้านนวดอ้างว่าผู้ตายไปเก็บเห็ดซึ่งน่าจะเป็นเห็ดพิษมาต้มกินและเกิดอาการแพ้จนเสียชีวิตซึ่งญาติติดใจสงสัยในสาเหตุการเสียชีวิตจึงได้เข้าร้องเรียนกับมูลนิธิ ปวีณาฯ เพื่อขอให้ความเป็นธรรม ตรวจสอบข้อเท็จจริง  ซึ่งขณะนี้ได้มีการส่งศพหญิงไทยที่เสียชีวิตกลับมาตรวจหาสาเหตุที่สถาบันนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจแล้ว อยู่ระหว่างรอผลตรวจอย่างละเอียด พร้อมกับเก็บเห็ดดังกล่าวกลับมาส่งตรวจสอบด้วย" นางปวีณากล่าว 
 
นางปวีณา กล่าวว่า หลังจากนั้นทั้งคณะผู้บริหาร พม. นางเสาวนีย์ โขมพัตร รองอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ นางสาวพัชรี แนวพานิช ผู้อำนวยการส่วนช่วยเหลือและคุ้มครองผู้ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์และกลุ่มเสี่ยงชาวไทย สำนักงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้าหญิงและเด็ก กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ นางจตุพร โรจนพานิช ผู้อำนวยการกลุ่มวิเทศสัมพันธ์ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พล.ต.ต.นรบุญ แน่นหนา รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ พ.ต.ท.ชูศักดิ์ อภัยภักดิ์  พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ ได้เดินทางเข้าพบนายวรเดช  วีระเวคิน เอกอัครราชทูตไทย ณ สถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงพริทอเรีย โดยหารือแนวทางการพัฒนาความร่วมมือในการติดตามจับกุมผู้ที่กระทำความผิดระหว่างประเทศ  มาตรการป้องกัน ช่วยเหลือเหยื่อค้ามนุษย์ให้เป็นรูปธรรม  และการดำเนินคดีกับขบวนการค้ามนุษย์ทั้งประเทศต้นทางและปลายทางควรจะมีความร่วมมือระหว่างประเทศในการดำเนินการ
 
"ความผิดฐานค้ามนุษย์ จะต้องถูกออกหมายจับในข้อหาตกลงกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป กระทำความผิดฐานค้ามนุษย์และได้ร่วมกันลงมือกระทำความผิดตามที่ตกลงกันไว้ หรือ ตั้งแต่  3 คนขึ้นไปไม่ว่าการกระทำความผิดนั้นส่วนใดส่วนหนึ่งจะกระทำนอกราชอาณาจักรฯ ตามพรบ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์พ.ศ.2551  ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกสูงสุด 37 ปี 6 เดือน หรือ ปรับสูงสุด 750,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้รวมถึงการกระทำที่ต่างกรรมต่างวาระและจำนวนผู้สียหายที่ศาลต้องพิจารณาโทษตามกฏหมาย พร้อมทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะเข้าไปตรวจสอบบัญชี ทรัพย์สิน ย้อนหลังเพื่อทำการยึดทรัพย์ต่อไป" นางปวีณากล่าว
 
น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 33 ปี ผู้เสียหายรายหนึ่ง กล่าวว่า ตนเดินทางมาตั้งแต่กลางปี 2555 ก่อนหน้านี้ตนเองมีอาชีพเป็นลูกจ้างร้านขายเสื้อผ้า มีลูกสาว 1 คน อายุ 8 ปี แต่เลิกรากับสามีแล้ว ด้วยความที่ตนเองมีโรคประจำตัวเป็นหอบหืด จึงต้องให้ลูกสาวไปอยู่กับพ่อซึ่งตนต้องทำงานหาเงินส่งให้ลูกด้วย ต่อมาตกงานและไม่มีเงิน ขณะเดียวกันเพื่อนผู้หญิงที่รู้จักกันตอนขายเสื้อผ้าชื่อเล่นว่า อัง อายุประมาณ 40 ปี ชักชวนให้ไปทำงานร้านนวดไทยที่นครโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ โดยบอกว่ารายได้ดี มีทิป มีค่าคอมมิชชั่น อย่างน้อยรายได้เดือนละไม่ต่ำกว่า  5-6 หมื่นบาท ซึ่งจะมี เจ๊ตุ๊ก หรือ คิม หรือ บัว เป็นผู้หญิงไทยมีสามีเป็นชาวแอฟริกาใต้ผิวขาว จะคอยดูแล หลายคนที่ไปทำงานแล้วกลับมาก็มีเงินใช้ ไม่ต้องลำบาก โดยนางอัง บอกอีกว่าจะดำเนินเรื่องวีซ่า พาสปอร์ต และจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินให้ก่อนแล้วค่อยมาใช้ทีหลัง
 
"อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นจะได้มีเงินมารักษาตัว และจะได้รับลูกสาวกลับมาอยู่ด้วยกัน จึงตกลงที่จะเดินทางไป เมื่อถึงวันเดินทางได้นัดเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิก็พบว่ามีผู้หญิงไทยที่จะร่วมเดินทางไปทำงานนวดด้วยกันเกือบ20 คน เมื่อเดินทางไปถึงสนามบินนครโจฮันเนสเบิร์กก็มีชายต่างชาติผิวขาวคนหนึ่งมารอรับและยึดพาสปอร์ตกับเอกสารต่างๆของทุกคนไปและพาขึ้นรถนำไปส่งที่บ้านหลังหนึ่งย่านแซนตั้น เป็นลักษณะบ้านชั้นเดียวมีบริเวณกว้าง ตนสังเกตเห็นรั้วรอบบ้านมีการปล่อยกระแสไฟฟ้าและมีประตูล๊อกถึง 3 ชั้น ภายในบ้านแบ่งเป็นห้องเล็กๆ จำนวนหลายห้อง และได้พบกับหญิงชาวจีนคนหนึ่งชื่อแอนนาเป็นแม่บ้าน คอยควบคุมดูแล ทั้งบอกกับทุกคนว่าต้องให้บริการทางเพศกับลูกค้าด้วย" น.ส.เอกล่าว 
 
น.ส.เอ กล่าวว่า เมื่อทุกคนรู้ว่าถูกหลอกมาค้าประเวณี ถ้าใครไม่อยากอยู่ คนที่ชื่อ ตุ๊ก ข่มขู่ว่าต้องหาเงินมาจ่ายหรือทำงานใช้หนี้ คนละประมาณ 2-3 แสนบาท โดยอ้างว่าเป็นค่าดำเนินการ ค่าเดินทาง ตั๋วเครื่องบินแสนบาทให้หมดถึงจะกลับได้ ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่มีเงินมาไถ่ตัว ต้องถูกกักขังไว้และมีชายผิวดำคอยคุมอยู่ ไม่ให้กินข้าว กินน้ำ ทำร้ายร่างกายจนทนไม่ไหวต้องยอมให้บริการทางเพศทนทุกข์บำเรอกาม แต่ไม่เคยได้รับเงินเพราะถูกหักหนี้ หักค่าใช้จ่ายทุกอย่าง ต้องรับแขกตลอด ไม่สามารถปฎิเสธได้ ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส 
 
"เคยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจค้นจับกุมหลายครั้งแต่ก็จะมีคนติดต่อมาที่ตำรวจและได้รับการปล่อยตัวทุกครั้งทำให้คิดว่า คงสิ้นหนทางที่จะได้กลับบ้านแล้ว  จึงได้วางแผนกับเพื่อนอีก 5 คนเพื่อหาทางหลบหนีโดยอ้างกับผู้คุมว่าจะออกไปซื้อกับข้าว แต่เมื่อได้ออกมาระหว่างยืนรอเพื่อนที่นัดหมายให้มารับอยู่ริมถนน อยู่ๆ ก็มีกลุ่มชายผิวดำจำนวน 8 คน เข้ามาปล้นตนกับเพื่อนๆ เอาทรัพย์สินไปหมดและพยายามจะข่มขืน ทำให้ทุกคนต้องวิ่งหนีไม่คิดชีวิต กระจัดกระจายกันไป ตนกับเพื่อนคนหนึ่งถูกทำร้ายและอาศัยจังหวะที่คนร้ายเผลอคลานเข้าไปหลบในพงหญ้าริมถนน" น.ส.เอกล่าว
 
น.ส.เอ กล่าวว่า เพื่อนที่หลบมาด้วยกันนั้นมีโทรศัพท์มือถือที่ซุกซ่อนเอาไว้จึงโทรหาชาวจีนที่รู้จักกัน เขาก็รีบมาช่วยและพาไปหาที่พัก พร้อมกับบอกว่า จะอยู่ยังไง ถ้าอยากกลับบ้านก็ต้องทำงานหาเงินเพื่อเป็นค่าเดินทางกลับ และส่งให้ตนกับเพื่อนมาอยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว ให้รับแขกทุกวัน ทรมานมาก เมื่อมีโอกาสจึงได้แอบโทรศัพท์กลับมาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่เมืองไทย โดยไม่คาดฝันมาก่อนว่านางปวีณาจะเดินทางมาให้ความช่วยเหลือและได้กลับบ้านอย่างรวดเร็วขนาดนี้  
 
เครดิต ข่าวสด

Admin : GK1551
view
:
1337

Post
:
2014-03-28 10:38:44


ร่วมแสดงความคิดเห็น