วันนี้ (19 มี.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์บลูสกายแชนแนลถึง กรณีที่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะออกนั่งบัลลังก์รับฟังคำชี้แจง ตามที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องพร้อมความเห็นตามที่มีผู้ร้องให้วินิจฉัยการเลือกตั้ง ส.ส.วันที่ 2 ก.พ. ไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญว่า  ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจปกป้องไม่ให้เกิดการละเมิดรัฐธรรมนูญ  ถ้าการเลือกตั้งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญก็ไม่มีปัญหา ถ้าไม่เป็นก็มีเป็นอำนาจวินิจฉัยได้ และเคยมีบรรทัดฐานตัดสินการเลือกตั้งเมื่อปี 2549 มาแล้ว ดังนั้น การกล่าวหาว่า ศาลฯ ขยายอำนาจออกไปไม่จบสิ้นจึงไม่ถูกต้อง  แต่ท่าทีของพรรคเพื่อไทยที่ออกมาแถลงคัดค้านการใช้อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญยังคงเหมือนเดิม ไม่เคยตระหนักถึงข้อร้องเรียนของประชาชนที่ออกมาเป็นจำนวนมากแสดงออก วิกฤตจึงยังคาราคาซังอยู่

 

หากฝ่ายตุลาการ ไปทำเรื่องที่เป็นอำนาจฝ่ายบริหาร ถึงจะเป็นการละเมิด แต่ถ้าฝ่ายบริหาร หรือนิติบัญญัติทำผิดกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญเสียเอง  ต้องเป็นอำนาจตุลาการ ไม่อย่างนั้น เราก็จะมีเสียงข้างมากที่ไม่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ และไม่ต่างอะไรกับประเทศเผด็จการ มีการฉีกกฎหมายทำตัวเป็นกรรมการเอง

 

นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้วยว่า รัฐบาลพยายามสร้างภาพยัดเยียดว่า กกต. ไม่จัดการเลือกตั้ง  ซึ่งไม่ถูกต้องเพราะ กกต. มีหน้าที่จัดการเลือกตั้งให้ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ สุจริต เที่ยงธรรม  เขาพยายามท้วงติงแล้วว่า หลายอย่างที่เดินไปไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ จำเป็นต้องแก้ไข  แต่เมื่อไม่เป็นไปตามใจรัฐบาล ที่ต้องการเดินหน้าเลือกตั้งก็ไปยัดข้อหาเขาว่าไม่อยากจัดการเลือกตั้ง   ส่วนการเลือกตั้งเป็นโมฆะหรือไม่ต้องดูข้อกฎหมาย ใครรับผิดชอบต้องดูสาเหตุโมฆะมากจากอะไร และใครเป็นคนตัดสินใจ

 

กรณีที่พรรคเพื่อไทยอ้างว่า หากตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ต่อไปก็จะมีคนไปขัดขวางอีกเพื่อทำให้เป็นโมฆะ ที่จริงแล้วความโมฆะไมได้เกืดจากความขัดชวาง แต่เกิดจากเมื่อเกิดเหตุแล้ว การเดินหน้าเลือกตั้งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือ ไม่  ต้องไม่ลืมลืมว่า กกต. เคยเสนอรัฐบาลแล้วว่ามีปัญหาให้แก้ไขก่อน  แต่รัฐบาลปฏิเสธ ความโมฆะจึงเกิดจากตรงนี้ ไม่ได้เกิดจากการขัดขวางการเลือกตั้งด้วยตัวมันเอง ส่วนการขัดขวางใครทำก็ต้องรับผิดชอบตามกฎหมายแยกเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

 

เครดิต มติชน