รัฐบาลสหรัฐอเมริกา ออกแถลงการณ์ 10 ข้อ ตอบโต้คำพูดของนายวลาดิเมียร์ ปูติน เกี่ยวกับรัฐบาลใหม่ของยูเครนและวิกฤตการณ์ในไครเมีย

 

 

          เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2557 เว็บไซต์ state.gov รายงานว่า หลังจากที่ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ได้ออกมาพูดถึงความชอบธรรมของรัสเซียที่เข้าแทรกแซงทางทหารต่อยูเครน ล่าสุด ทางสหรัฐอเมริกาก็ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้เกี่ยวกับคำอธิบายดังกล่าวแล้ว พร้อมกับชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่นายปูตินพูดนั้น คือความจริงที่ถูกบิดเบือน และบางอย่างก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ดังนี้

 

 

          1. นายปูติน กล่าวว่า กองกำลังของรัสเซียในแคว้นไครเมีย ได้ออกปฏิบัติการเพื่อปกป้องทรัพย์สินของกองทัพรัสเซียเท่านั้น ส่วนกลุ่มคนที่เข้ายึดสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานและค่ายทหารของยูเครนนั้น เป็นเพียงกองกำลังพลเรือนป้องกันตนเอง ไม่ใช่กองทัพรัสเซีย

 

          ความจริง : จากหลักฐานที่เด่นชัด ชี้ให้เห็นว่า สมาชิกบางคนที่อยู่ในกองกำลังรักษาความปลอดภัยของรัสเซีย คือบุคคลสำคัญที่อยู่ในองค์กรต่อต้านกองกำลังยูเครนในแคว้นไครเมีย แม้ว่ากองกำลังนี้จะแต่งตัวด้วยชุดเครื่องแบบแต่ไม่ประดับยศ แต่พวกเขาก็ขับยานพาหนะที่มีทะเบียนรถของกองทัพของรัสเซีย และเมื่อนักข่าวจากนานาประเทศและทหารยูเครนถาม พวกเขาก็กล้าประกาศตัวว่า พวกเขาคือสมาชิกในกองกำลังรักษาความปลอดภัยของรัสเซีย ยิ่งไปกว่านั้น ทหารเหล่านี้ยังพกพาอาวุธที่ใช้ได้เฉพาะแต่ในกองทัพ ไม่ใช่อาวุธที่พลเรือนทั่วไปใช้กัน

 

          2. นายปูติน กล่าวว่า การกระทำใด ๆ ของรัสเซีย อยู่ในขอบเขตของสนธิสัญญาพันธมิตรระหว่างยูเครนและรัสเซีย ที่ได้ลงนามร่วมกันในปี 1997

 

          ความจริง : ในข้อตกลงปี 1997 นั้น ได้มีการเรียกร้องให้รัสเซีย เคารพอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของยูเครน แต่พฤติกรรมของกองทัพรัสเซียในยูเครนที่เป็นการออกปฏิบัติการควบคุมแคว้นไครเมีย ถือเป็นการล่วงล้ำบูรณภาพแห่งดินแดนและละเมิดการปกครองของยูเครนอย่างเด่นชัด

 

          3. นายปูติน กล่าวว่า ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยูเครนไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงสงบศึก ที่ให้ไว้กับประธานาธิบดี วิคเตอร์ ยานูโควิช เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2557 ได้

 

          ความจริง : ข้อตกลงของวันที่ 21 กุมภาพันธ์นั้น ถือเป็นการวางแผนให้รัฐสภายูเครน ออกพระราชบัญญัติที่จะกลับมาใช้รัฐธรรมนูญปี 2004 เพื่อจำกัดอำนาจของประธานาธิบดีและเพิ่มอำนาจให้สภานิติบัญญัติ และภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว นายยาคูโนวิชต้องมีการลงนามรับรองข้อกฎหมายนี้ภายใน 24 ชั่วโมง เพื่อยุติวิกฤติในยูเครนให้ประเทศกลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง แต่นายยาคูโนวิชปฏิเสธที่จะลงนาม เขากลับเก็บข้าวของและหลบหนี ทิ้งหลักฐานของการฉ้อราษฎร์บังหลวงเอาไว้เบื้องหลัง

 

          4. นายปูติน กล่าวว่า รัฐบาลของยูเครนนั้น ถือเป็นรัฐบาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายยาคูโนวิชถือเป็นประธานาธิบดีที่ชอบด้วยกฎหมายของยูเครน

 

          ความจริง : เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2557 ประธานาธิบดีปูติน เคยกล่าวอย่างชัดเจนว่า นายยานูโควิชไม่มีอนาคตทางการเมืองแล้ว หลังจากที่นายยานูโควิชหนีออกจากประเทศยูเครน และแม้แต่พรรคการเมืองของเขาก็ยังหันหลังให้เขา ขณะที่สมาชิกรัฐสภาซึ่งมาจากพรรครัฐบาลยังลงคะแนนเสียง 371 เสียง หรือ 82% ถอดถอนนายยานูโควิช และสนับสนุนรัฐบาลรักษาการ ดังนั้น ถือว่ารัฐบาลรักษาการชุดนี้มาจากความต้องการของเสียงส่วนใหญ่ และจะนำพาประเทศไปสู่การเลือกตั้งในวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 เพื่อให้ชาวยูเครนกำหนดอนาคตของประเทศด้วยตัวเอง

 

          5. นายปูติน กล่าวว่า ได้เกิดวิกฤติด้านมนุษยธรรมในยูเครน ผู้คนมากมายต่างหลบหนีจากประเทศยูเครนเข้าไปในประเทศรัสเซียเพื่อหาที่พึ่งพิง

 

          ความจริง : จนกระทั่งถึงวันนี้  ยังไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าเกิดวิกฤติด้านมนุษยธรรมในยูเครน อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานว่ามีผู้ลี้ภัยจำนวนมาก ได้หนีออกจากยูเครนมาอยู่ในรัสเซีย โดยองค์การนานาชาติที่อยู่ในพื้นที่ได้พยายายมสืบค้นเรื่องนี้โดยการพูดคุยกับตำรวจตระเวนชายแดนของยูเครน แต่ ตชด. ก็ได้ออกมาปฏิเสธเรื่องผู้ลี้ภัย นอกจากนี้ นักข่าวอิสระยังได้ออกสำรวจบริเวณรอบเขตชายแดน และรายงานออกมาว่า ไม่ได้มีผู้อพยพลี้ภัยจำนวนมากอย่างที่รัสเซียกล่าวอ้าง

 

          6. นายปูติน กล่าวว่า ชนกลุ่มน้อยของรัสเซียถูกคุกคาม

 

          ความจริง : นอกจากสื่อของรัสเซียและสถานีโทรทัศน์ทางการของรัสเซียแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีรายงานที่น่าเชื่อถือใด ๆ ที่บ่งบอกว่า ชนกลุ่มน้อยของรัสเซียถูกคุกคาม รัฐบาลใหม่ของยูเครนได้ให้ความสำคัญกับความสงบสุขและการปรองดองตั้งแต่แรก ประธานาธิบดีโอเล็กซานเดอร์ เตอร์ชิฟนอฟ ปฏิเสธที่จะลงนามในข้อกฎหมายที่จะจำกัดการใช้ภาษารัสเซียในระดับภูมิภาค ขณะที่ชนกลุ่มน้อยของรัสเซียและชาวรัสเซียก็ได้ร่วมลงนามว่า ชุมชนของพวกเขาไม่เคยเจอกับการคุกคามแต่อย่างใด นอกจากนี้ นับตั้งแต่ที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ความสงบสุขก็กลับคืนสู่กรุงเคียฟ และไม่มีเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดจากขั้วตรงกันข้ามทางการเมืองเกิดขึ้นอีกด้วย

 

          7. นายปูติน กล่าวว่า ฐานทัพของรัสเซียกำลังถูกคุกคาม

 

          ความจริง :  ฐานทัพทางทหารของรัสเซียยังปลอดภัยเช่นเดิม และรัฐบาลใหม่ของยูเครนได้ให้คำมั่นว่า จะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของนานาชาติ รวมทั้งการให้ความคุ้มครองฐานทัพของรัสเซีย ซึ่งในทางตรงกันข้าม ฐานทัพของยูเครนในแค้วนไครเมียต่างหากที่ถูกกองกำลังของรัสเซียคุกคาม

 

          8. นายปูติน กล่าวว่า ได้เกิดการโจมตีโบสถ์ของชาวคริสต์ และโบสถ์ของชาวยิวอย่างหนักในทางตอนใต้และตะวันออกของยูเครน

 

          ความจริง :  ผู้นำศาสนาของประเทศและตัวแทนศาสนาจากนานาชาติที่อยู่ในประเทศยูเครน ได้ออกมายืนยันว่า ไม่ได้มีเหตุการณ์โจมตีโบสถ์คริสต์เกิดขึ้นในยูเครนแต่อย่างใด กลุ่มผู้นำศาสนาคริสต์ในยูเครน รวมถึงตัวแทนจากเขตอัครบิดรคริสตจักรออโธดอกซ์มอสโกในยูเครน ได้ออกมาให้การสนับสนุนผู้นำทางการเมืองคนใหม่ พร้อมทั้งเรียกร้องให้เกิดความสามัคคีในประเทศและเรียกร้องให้มีช่วงเวลาในการฟื้นฟูบ้านเมือง เช่นเดียวกับกลุ่มคนยิวที่อยู่ทางตอนใต้และตะวันออกของยูเครน ก็รายงานว่า ไม่มีเหตุการณ์ต่อต้านกลุ่มคนยิวแต่อย่างใด

 

          9. นายปูติน กล่าวว่า  รัฐบาลกลางในกรุงเคียฟเจตนาทำลายเสถียรภาพในแคว้นไครเมีย

 

          ความจริง :  รัฐบาลใหม่ของยูเครน ได้ใช้ความอดทนอดกลั้นและพยายามหาทางพูดคุยเจรจากับรัสเซีย แต่ในทางตรงกันข้าม กองกำลังของรัสเซียกลับเป็นฝ่ายเคลื่อนพลออกมาจากฐานทัพเพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองและเพื่อทำลายเสถียรภาพในไครเมีย ทางรัฐบาลในกรุงเคียฟจึงได้ส่งอดีตผู้บัญชาการกองทัพ และผู้แทนทูตของรัฐบาล เข้าไปพยายามเจรจาแล้ว แต่พวกเขากลับถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปในอาคารรัฐสภาไครเมีย

 

          10. นายปูติน กล่าวว่า รัฐบาลราดาของยูเครน ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มหัวรุนแรงและผู้ก่อการร้าย

 

          ความจริง :  รัฐบาลราดาของยูเครน คือผู้แทนอันชอบธรรมในยูเครน ร่างกฎหมายฉบับล่าสุดก็ได้รับการลงคะแนนโดยเสียงส่วนใหญ่ รวมทั้งกลุ่มตัวแทนจากทางภาคตะวันออกของยูเครน ในขณะที่กลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรงฝ่ายขวา ซึ่งบางคนเคยมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ปะทะกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระหว่างการประท้วงยูโรไมดาน ไม่ใช่กลุ่มผู้แทนในสภา