นักจิตวิทยารับ 'โรคจิต' ชอบข่มขืนเด็กดูยาก แนะวิธีกันถูกข่มขืน!
2013-12-18 10:50:07
นักจิตวิทยาชี้ โรคจิตข่มขืนเด็กดูไม่ออก แนะหลักสูตรกันถูกข่มขืน ย้ำผู้ปกครองสอนลูกหลาน อย่าไว้ใจใคร...
 
 
กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์สยองขวัญทันที กรณีหนูน้อยวัย 6 ขวบ ถูกคนร้ายฆ่าข่มขืน ข้างสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส แบริ่ง เมื่อกลางดึกของต้นเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา และที่สำคัญยังมีข่าวลือออกมาอีกว่าผู้ต้องหารายนี้เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาเห็นเด็กแล้วมีอารมณ์ทางเพศ พร้อมกับข่มขืนเด็กมาเป็นสิบราย  คำถามจึงเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะเรื่องภาวะของจิตคนร้ายรายนี้ 
 
 
ล่าสุด ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักวิเคราะห์จิตชื่อดัง ออกมากล่าวผ่านไทยรัฐออนไลน์ว่า อาการชอบข่มขืนเด็ก หรือเห็นเด็กแล้วมีอารมณ์ทางเพศ มี 2 ประเภทที่จะกระ ทำแบบนี้ ประเภทแรกอาการ 'Asperager' เป็นความบกพร่องของพัฒนาการรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะตัว อยู่ในกลุ่มเดียวกับโรคออทิสติก (Autistic Disorder) แต่มีความแตกต่างกันในรายละเอียดอยู่บ้างพอสมควร เช่น ความบกพร่องในการใช้ท่าทางหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น การสบตา การแสดงสีหน้า กิริยาหรือท่าทางประกอบการเข้าสังคม คนที่อยู่ในอาการของกลุ่มนี้จะไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนในระดับที่เหมาะสมกับอายุได้ หมกมุ่นกับพฤติกรรมซ้ำๆ ซึ่งกลุ่มนี้มีจำนวนมาก
 
"โรคอีกประเภทคือโรคเบี่ยงเบนทางเพศ อาการของคนจำพวกนี้จะชอบเด็ก ชอบมีเพศสัมพันธ์กับเด็กๆ สาเหตุตามจิตวิเคราะห์ระบุว่าเนื่องจากพวกเขากลัวคนที่มีอายุเท่ากัน กลัวผู้ใหญ่ เพราะอาจจะมีปมด้อยบางอย่าง เช่นถูกคนในวัยเดียวกันดูถูก เป็นประเภทมีปมด้อยในใจ ฉะนั้นเขาจะรู้สึกว่าเด็กเล็กๆ นั้น ไม่ประสีประสา เลยไปลง มือกระทำกับเด็กๆ ซึ่งเมื่อทำได้ครั้งหนึ่งแล้วก็จะมีครั้งต่อๆ ไปตามมา คนจำพวกนี้มีปัญหา ดังนั้นเมื่อใครที่อยู่ในภาวะนั้นแนะนำว่าอย่าไปขู่แค้น หรือด่าทอคนร้ายเมื่อถูกกระทำ ให้เอาตัวรอดให้ชีวิตเราปลอดภัยไว้ก่อน กรณีที่เป็นข่าวที่มีการฆ่าทางจิตวิเคราะห์ระบุได้ว่าอาจเป็นเพราะเขาต้องการจะปกปิดความจริงดังนั้นต้องไม่โวยวาย ใส่เขา ให้เก็บหลักฐานให้ดีที่จะสามารถจับตัวผู้ข่มขืนให้ได้ในภายหลัง เพื่อคนอื่นจะไม่ตกเป็นเหยื่ออีก ส่วนกรณีเด็กนั้นเราไม่สามารถมีทักษะในการเอาตัวรอดเหมือนกับผู้ใหญ่ วิธีแก้ไขก็คือผู้ปกครองต้องสอนเสมอๆ ว่าอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า ห้ามรับของ ห้ามรับเงินจากคนแปลกหน้าเด็ดขาด"
 
นักจิตวิทยาชื่อดังผู้นี้ยังกล่าวแนะนำวิธีการเอาตัวรอดจากการถูกข่มขืน พร้อมกับเสนอใช้เป็นหลักสูตรในการสอนห้องเรียนด้วย โดยเคล็ดลับหลักๆ คือต้องรู้จุดอ่อนของผู้ชาย ผู้ชายจะไม่สามารถข่มขืนผู้หญิงได้ ถ้าเรารู้วิธีป้องกัน 
 
1. พยายามคุยดีๆ เพราะพวกที่มีอารมณ์ทางเพศ อารมณ์จะพลุ่งพล่านสูง คุยกับเขาดีๆ แกล้งถามเรื่องครอบครัว พูดไปเรื่อยๆ คุยกันไปนานๆ เขาก็จะหมดอารมณ์ทางเพศไปเอง
 
2. ทำตัวน่าเกลียด ยกตัวอย่างเช่น คุยไปแคะขี้ฟัน แคะขี้มูกให้เขาเห็น ทำให้สกปรกเข้าไว้เพราะคนพวกนี้จะหมดอารมณ์กับสิ่งสกปรกของเหยื่อ
 
3. เวลาจะมีเพศสัมพันธ์แกล้งปิดขา แล้วให้ร้องว่ารอก่อนๆ พยายามถ่วงเวลาไว้ โดยการบอกว่าหาสถานที่ใหม่ดีกว่า ที่มันสบายกว่านี้ทำให้เขาหมดอารมณ์แล้วหาทางหนี หรือหาคนช่วยเหลือ แต่ห้ามขัดขืนแบบด่าทอ ใช้ความรุนแรง เพราะจะเป็นอันตรายต่อชีวิตตัวเอง
 
4. แกล้งดัดจริต บิดไปมาอย่าให้เขาได้สำเร็จความใคร่ได้ พยายามใช้มารยาหญิงร้อยเล่มเกวียนให้ได้มากที่สุด 
 
สุดท้าย นักจิตวิเคราะห์บอกว่า กรณีอย่างข่าวนี้ถือว่าเป็นปัญหาสำหรับสังคมเป็นอย่างมาก พ่อแม่ก็จัดการไม่อยู่ ตำรวจก็แก้ไขไม่ได้ ดังนั้นชาวบ้านต้องช่วยกันสอดส่องดูแลคนที่มีลักษณะท่าทางลับๆ ล่อๆ แปลกๆ พฤติกรรมของคนที่ชอบร่วมเพศกับเด็กซึ่งเป็นปัญหาทางจิต
 
"ปัจจุบันผู้ที่มีปัญหาชอบข่มขืนเด็กมีจำนวนมากยังไม่ได้รับการรักษาเพราะว่าไม่คิดว่ามันคือปัญหา จึงไม่ออกมาจากมุมมืดแอบกระทำอย่างลับๆ เป็นข่าวก็จะโผล่ออกมาที  และที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือ คนกลุ่มนี้จำพวกนี้จะดูไม่ค่อยออก เนื่องจากพวกเขามีลักษณะเหมือนคนปกติแทบทุกประการ พูดคุยรู้เรื่องทุกอย่าง แม้แต่จิตแพทย์ยังไม่สามารถทราบได้ วิธีแก้ไขทางเดียวก็คือถ้าเป็นเด็กให้อยู่ในสายตาผู้ปกครองมากที่สุด แล้วก็สอนให้บุตรหลานอย่างเข้าใกล้คนแปลกหน้า ส่วนการป้องกันการถูกข่มขื่นที่ยั่งยืนก็คือการนำหนักสูตรป้องกันการถูกข่มขืนไว้ในระบบการศึกษาด้วย ซึ่งเรื่องนี้สามารถสอบถามมาที่ตนเองได้เพราะเคยเสนอเรื่องนี้มาแล้วหลายปี แต่ไม่มีคนเห็นด้วย" ดร.วัลลภ กล่าวสรุป
 
Credit : Thairath Online
Admin : Chanya

Admin : admin
view
:
1241

Post
:
2013-12-18 10:50:07


ร่วมแสดงความคิดเห็น