รัฐบาลอียิปต์ส่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มผู้สนับสนุน อดีตประธานาธิบดี โมฮัมเหม็ด มูร์ซี ในกรุงไคโร ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตแล้ว 278 ราย นับเป็นเหตุนองเลือดที่สุดตั้งแต่การปฏิวัติโค่นอำนาจผู้นำเผด็จการ ฮอสนี มูบารัก เมื่อปี 2011 ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ค่ายพักของกลุ่มผู้ประท้วงอย่างสงบ ได้เปลี่ยนเป็นพื้นที่สงครามขนาดย่อมอย่างรวดเร็ว ทำให้รัฐบาลอียิปต์ได้ออกมาประกาศใช้รัฐบัญญัติสถานการฉุกเฉิน 1 เดือน เมื่อวันพุธที่ 14 ส.ค. 56 เวลา 16:00น. ตามเวลาท้องถิ่น (10:00น.เวลาเมืองไทย) รวมทั้งประกาศใช้กฎเคอร์ฟิวในกรุงไคโร, เมืองอเล็กซานเดรียและอีกหลายเมือง ห้ามไม่ให้ประชาชนออกจากบ้านตั้งแต่เวลา 19:00น.-6:00น. ความรุนแรงครั้งนี้ เริ่มจากการที่กองกำลังอียิปต์บุกแคมป์ที่พักของกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด มูร์ซี ที่ถูกรัฐประหารไปเมื่อต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อต้องการสลายการชุมนุม ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก แต่กลุ่มผู้ประท้วงส่วนใหญ่ปฏิเสธที่จะสลายตัว โดยตะโกนใส่กองกำลังว่า พวกเขาพร้อมที่จะตายอยู่แล้ว การปะทะครั้งนี้ไม่ได้จำกัดพื้นที่อยู่แค่ในเมืองไคโรเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงเมืองในแถบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ เช่น เมืองมินยาและอัสซุต กลุ่มผู้สนับสนุนมูร์ซีที่ไม่พอใจกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ ได้เผาทำลายโบสถ์เซนต์จอร์จ รวมถึงรถทัวร์ และรถตำรวจอีกหลายคัน มีรายงานจากแหล่งข่าวของกระทรวงมหาดไทยรายงานว่า กลุ่มผู้สนับสนุนกลุ่มภราดรภาพมุสลิมเข้าโจมตีสถานีตำรวจถึง 3 แห่ง ซึ่งเหตุการณ์ค่อนข้างโกลาหลจนไม่รู้ว่าฝ่ายไหนมีอาวุธและฝ่ายไหนที่ถูกโจมตี นายนากิบ สวิริส (Naguib Sawiris) มหาเศรษฐีชาวอียิปต์ ที่เป็นหนึ่งในผู้ต่อต้านอดีตประธานาธิบดีมูร์ซี กล่าวว่า มีวีดีโอหลักฐานแสดงว่า สมาชิกกลุ่มภราดรภาพสาดปืนกลใส่พลเมืองและเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่เองไม่ได้เป็นฝ่ายเปิดฉากยิง แต่เป็นกลุ่มก่อการร้ายที่อยู่ในแคมป์ที่เป็นฝ่ายเริ่ม ขณะที่นายอาห์เม็ด มุสตาฟา โฆษกของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมโต้ว่า นายสวิริส พยายามสร้างภาพผิดๆ ออกไปสู่สายตาประชาชน เพราะในวีดีโอ มีแต่ภาพคนใส่หน้ากากที่ถืออาวุธ โดยตัวแทนทั้งสองฝ่าย ต่างก็ยืนยันจุดยืนที่ต่อต้านความรุนแรง ซึ่งจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคาดการณ์ว่า น่าจะยืดเยื้อและรุนแรงขึ้นต่อไปอีก เพราะฉะนั้นการพูดถึงการชุมนุมแบบสงบนั้น มันไม่มีอยู่จริง มีรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 235 คน บาดเจ็บอีกกว่า 1,400 คน ในกรุงไคโร และพื้นที่อื่นๆ ของอียิปต์ ขณะที่กระทรวงมหาดไทยเผยว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิตแล้ว 43 นาย แต่กลุ่มภราดรภาพมุสลิมปล่อยข่าวเกี่ยวกับจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บจำนวนมากเกินจริง เพราะต้องการดึงความสนใจจากประชาชนในวงกว้าง หนึ่งในผู้เสียชีวิตจากการปะทะครั้งนี้ มีนายมิค ดีน ช่างภาพของสกายนิวส์จากอังกฤษ และ น.ส.อัสมา อัล-เบลตากี ลูกสาววัย 17 ปี ของนายโมฮัมเหม็ด เอล-เบลตากี แกนนำระดับสูงของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมรวมอยู่ด้วย ผลจากเหตุนองเลือดที่เกิดขึ้น ทำให้นาย โมฮัมเหม็ด เอลบาราดี รองประธานาธิบดีรักษาการแห่งอียิปต์ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพราะยืนยันว่า ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและประชาชนสมควรแก้ด้วยสันติวิธี แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ (วันพุธ) คือสิ่งที่เรียกว่า ความรุนแรง การก่อการร้าย และกลุ่มหัวรุนแรง เขาไม่อาจแบกความรับผิดชอบต่อเลือดแม้หยดเดียวของประชาชนได้ ขณะเดียวกัน นายจอช เออร์เนสต์ โฆษกทำเนียบขาวสหรัฐฯ แถลงว่า สหรัฐฯขอประนามการใช้ความรุนแรงแต่ผู้ประท้วงในอียิปต์ เราขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ และขอต่อต้านการนำรัฐบัญญัติสถานการณ์ฉุกเฉินกลับมาใช้อีกครั้ง และขอเรียกร้องไปยังรัฐบาลอียิปต์ ให้เคารพสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน เช่น เสรีภาพในการชุมนุมอย่างสงบ และกระทำการทุกอย่างภายใต้กฎหมาย โลกกำลังจับตามองสิ่งที่เกิดขึ้นในอียิปต์อยู่ ด้าน นายฮาเซม เบบลาวี นายกรัฐมนตรีรักษาการ ออกมาปกป้องคำสั่งสลายการชุมนุมของรัฐบาลว่า เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องนำความมั่นคงของชาติกลับคืนมา มันไม่ใช่การติดสินใจง่ายๆที่จะเข้าไปสลายการชุมนุมของเหล่าผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีมูร์ซี และขอแสดงความเสียใจต่อการสูญเสียชีวิตที่เกิดขึ้นด้วย ส่วนรัฐบัญญัติสถานการณ์ฉุกเฉิน จะถูกยกเลิกโดยเร็วที่สุด