จากกรณี น.ส.ทิพย์กัญญา สุรวิทยานนท์ หรือปลาผู้จัดการส่วนตัวของพระเอกนักบู๊ระดับโลก จา-พนม ยีรัมย์ ได้บอกว่า จาได้เจอคุณพ่อ ทองดี ยีรัมย์ แล้วระหว่างถ่ายทำภาพยนตร์ ที่วัดพนัญเชิงวรวิหาร จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2556 แต่เมื่อจาเข้าไปพูดคุยกับพ่อบนรถตู้ได้แค่ประมาณ 5 นาที ทางผู้จัดการอ้างว่า เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อพ่อโมโหหนักทำร้ายร่างกายจา จนผู้จัดการต้องเข้าไปห้ามแล้วพาออกไป ยิ่งทำให้พ่อของจาไม่พอใจอีก จนออกมาทำร้ายผู้จัดการจาแทน แต่ตนหนีทัน ถึงทีครอบครัวยีรัมย์ออกมาชี้แจงบ้าง โดยช่วงแรก มีเพียงแม่, พี่สาว และพี่ชายขึ้นมาพูดเท่านั้น เพราะพ่อจาบอกว่าความดันขึ้นสูงมาก อาการป่วยจากโรคเส้นสมองร้าว 3 เส้นกำเริบ ยังไม่สามารถพูดได้ จนไม่สามารถมาบันทึกเทปพร้อมกันได้ ซึ่งช่วงท้ายรายการ พ่อจาอาการดีขึ้นจึงได้พยายามขึ้นมาพูดบ้าง คุณพ่อทองดี เปิดใจอย่างเคร่งเครียดว่า "ใครจะไปลงมือลงไม้กับลูกตัวเอง ไม่ได้ไปถีบหรือไปทำอะไรจาเลย ตอนคุยกันเขาเข้ามากอด แล้วเราก็แค่ดีดขาไป เหมือนเป็นอาการออกมวยที่เราเคยฝึกให้กับจามาก่อน อารมณ์อยากให้จากลับบ้านเพื่อจะได้พาไปครอบครู เพราะ 2 ปีที่ผ่านมา จาไม่ได้มาครอบครู เราก็ครอบครูเอาไว้แทน อยากให้เขามาทำพิธีตรงนี้ วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะตามหาลูกตัวเอง ถ้ายังคิดว่าเป็นพ่อแม่กันอยู่ก็ให้กลับมา แต่ถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็ต่างฝ่ายต่างอยู่กันไป" หมดกำลังใจแล้วจะตามหาลูกชายตัวเอง ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย? "หมดกำลังแล้ว ก็อยากให้จาไปครอบครู ถ้าเขาสงสารพ่อ ก็ต้องไปครอบให้ แต่ถ้าไม่สงสารพ่อ ไม่ไปก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว" มี 3 คนที่ใกล้ชิดจามากๆ คือ เสี่ยงเจียง (สมศักดิ์ เตชะรัตนะประเสิร์ฐ), พี่พันนา ฤทธิไกร กับพี่ปัด (ปรัชญา ปิ่นแก้ว) ทั้ง 3 คนได้ติดต่อเพื่อจะให้ช่วยประสานกับจาหรือไม่อย่างไร? “ไม่เคยโทรๆ เวลามีงานหรือมีธุระค่อยมาหา เขาก็บอกว่า เดี๋ยวจะนัดให้ๆๆๆ แล้วก็หายเงียบไปเลย " ติดต่อจาไม่ได้ แล้วคุณพ่อเคยส่งข้อความ ไลน์ วอทแอฟ ถึงจาหรือไม่?”อันนี้ผมไม่รู้ ต้องถามลูกๆ ผมก็ไม่รู้จักใช้โทรศัพท์เนอะ " ดูอาการลูกชายแล้ว คิดว่าโดนเล่นของใส่หรือเปล่า? "ดูอาการแล้วมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ เพราะก่อนหน้านี้จาไม่ใช่เป็นคนอย่างนี้มาก่อนๆ ก็ไม่รู้ว่ามันโดนกีดกันเรื่องอะไร ก็ไม่รู้ๆๆ" คุณแม่รินทร์ กล่าวถึงลูกชายทั้งน้ำตาว่า "อยากให้กลับมาหาพ่อแม่บ้าง อยากให้มีเวลากับพ่อแม่บ้าง ไม่ได้ต้องการอะไรจากตัวลูกเลย ไม่ได้จะมาขอเงินหรือขออะไรจากลูก ติดต่อไม่ได้มานานกว่า 6 เดือนแล้ว ก่อนหน้านี้โทรหาก็จะบอกว่า ยังไม่ว่างตลอดๆ เพราะติดถ่ายหนัง ลูกเกลียดแม่เรื่องอะไรก็ไม่รู้ หรือว่าเพราะเราเป็นชาวไร่ชาวนาก็ไม่รู้ เมื่อก่อนเป็นเด็กที่อ่อนน้อม เชื่อฟังพ่อแม่ แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว" ส่วนประเด็นที่จาไม่กลับมาบ้าน เพื่อทำพิธีครอบครู ทำพิธีปะกำ จนอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้จาเปลี่ยนไปนั้น คุณแม่กล่าวสั้นๆ ว่า "อาจจะมีส่วน มันทรมาน มัน...พูดไม่ได้" ด้านทวีศักดิ์พี่ชายจากล่าวเสริมว่า "เราอาจให้จากลับมาทำพิธีปะกำไหว้บรรพบุรุษ ที่เขาเปลี่ยนไปขนาดนี้ก็ไม่รู้สาเหตุ ติดต่อไม่ได้ โทรไปก็ไม่ได้รับสาย บางครั้งรับสายก็ตัดสายทิ้งไป" พี่สาวหัทยา พูดถึงจาอย่างระงับอารมณ์ว่า ถึงกรณีที่แม่อ้อนวอนจาอยู่นอกรถแล้วให้ลงมาพูดจากัน "จาเฉยเหมือนไม่มีสติ เหมือนมีแต่ร่างเหมือนไม่รู้จักแม่ เราก็บอกไปว่าอย่าทำอย่างนี้กับพ่อแม่นะๆ เราคร่ำครวญร้องไห้วนอยู่กับรถนานกว่า 4-5 รอบ รถแทบจะเหยียบพ่อแม่ แม่ร้องไห้ทุบกระจกรถจนเป็นลมลงไปเลย รถแทบจะเหยียบแม่ จาก็นั่งอยู่ในรถ เราพี่น้องกันไม่เคยปัญหาอะไรกันเลย เรื่องเงินเราไม่เคยไปขอจากจาเลย เราก็มีงานของเราเอง ก็ทำนาทำไร่มันไร่อ้อยทำไร่ยางพาราทำหมดทุกอย่าง เราทำมาหากินเหมือนกัน จาให้มาก้อนใหญ่ที่สุดตอนหลังแต่งงาน 2 แสนบาท เขาบอกว่าให้เอาไปลงทุน เราก็ไม่ลืมพระคุณที่เขาให้มา เราไม่เคยไปขอก่อน เรายินดีในสิ่งที่เขาให้มา ก่อนหน้าที่จาจะแต่งงาน จาส่งเงินให้บ้างไม่ส่งบ้าง หลังจากมีเรื่องกันจาก็ส่งเงินมาให้เดือนละ 10,000 บาท ตอนนี้ห่วงพ่อมาก กลัวจะเครียดจะช็อกไปเลย กลัวจะไม่ได้สั่งลาลูก ถ้าจาดังแล้วเปลี่ยนไปแบบนี้ก็ไม่อยากจะให้ดังเลย อยากให้เป็นคนเดิม เงินทองชื่อเสียงที่หามาก็ไม่มีความหมาย ก็เอามาซื้อพ่อไม่ได้อีกเพราะพ่อมีคนเดียว ตอนที่ข่าวออกมาก่อนหน้านี้ว่ามีการได้พูดคุยกันแล้ว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนว่าได้พูดคุยกับพ่อแล้ว จริงๆ จายังไม่เคยโทรยังไม่ได้คุยกันเลย ที่เราติดต่อเสี่ย (เสี่ยเจียง สมศักดิ์ เตชะรัตนะประเสริฐ) ถือว่าเสี่ยใหญ่ที่สุดแล้ว บอกเอาไว้เลยแต่ก็ยังไม่เคยได้คุยกันเลย" ส่วนประเด็นที่คาใจว่า จาน่าจะโดนเล่นของหรือโดนอะไรบางอย่างครอบงำอยู่นั้น "อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันๆ ถึงอยากจะเจอตัวว่ามันเป็นเพราะเขาเอง หรือว่าไปโดนอะไรมา อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมจาถึงเปลี่ยนไปขนาดนั้น" ขอขอบคุณบทสัมภาษณ์จาก รายการไนน์เอนเตอร์เทน